วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เกษตรอินทรีย์


เกษตรอินทรีย์
กษตรอินทรีย์ หนทางรอดของเกษตรกรยุคนี้

ครั้งอดีต เกษตรกรของไทยไม่จำเป็นต้องอาศัยปุ๋ยเคมีหรือสารเคมีทางการเกษตรในการเพาะ ปลูก เนื่องจากสภาพดินมีความอุดมสมบูรณ์ จนกระทั่งมีการกล่าวขานว่าในน้ำมีปลา ในนามีข้าว แต่มายุคสมัยนี้ที่การผลิตสินค้าเกษตรมุ่งไปสู่การค้ามากขึ้น การเพิ่มผลผลิตจึง จำเป็น และสิ่งหนึ่งที่เกษตรกรยุคใหม่ใช้คือการเร่งการเจริญเติบโตของพืชด้วยปุ๋ย เคมีและ ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชเต็มอัตรา นอกจากนี้การใช้พื้นที่ทำการเกษตรโดยขาดการปรับปรุงบำรุงดินอย่างถูกวิธี ยิ่งส่งผลให้ดินเสื่อมสภาพ เกิดการสะสมของสารเคมีในปริมาณมาก ที่สำคัญพืชไม่สามารถดึงธาตุอาหารที่มีในดินมาใช้ประโยชน์ได้ นั่นคือสาเหตุที่เกษตรกรมีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะยุคปัจจุบันปัจจัยการผลิตทั้งปุ๋ยและสารเคมีล้วนปรับราคาสูงขึ้น

เกษตรอินทรีย์ จึงเป็นหนทางรอดของเกษตรกรในยุคปัจจุบัน เพราะไม่จำเป็นต้องไปซื้อปุ๋ยเคมีในราคาแพงมาใช้ เพียงแค่เกษตรกรหาวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นเศษพืช เศษปลา ใบไม้ หรือเศษหญ้ามาหมักกับสารเร่ง พด. ของกรมพัฒนาที่ดิน ก็จะได้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีคุณภาพ ในขณะที่สามารถลดต้นทุนการผลิตได้อีกด้วย

นายฉลอง เทพวิทักษ์กิจ รองอธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน กล่าวว่า ที่ผ่านมามีเกษตรกร หันมาใส่ใจเรื่องการทำเกษตรอินทรีย์มากขึ้น สังเกตได้จากเมื่อกรมพัฒนาที่ดินมีโครงการจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรใช้สาร อินทรีย์ลดการใช้สารเคมีทางการเกษตร มุ่งสู่การทำเกษตรอินทรีย์ จะมีเกษตรกรสนใจเข้าร่วมจำนวนมาก โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2550 มาจนถึงปีนี้ สามารถจัดตั้งกลุ่มไปแล้วไม่ต่ำกว่า 51,000 กลุ่ม และในปีนี้ กรมฯ ได้ดำเนินการส่งเสริมการใช้สารอินทรีย์ทดแทน สารเคมีทางการเกษตรหรือเกษตรอินทรีย์ ได้แล้ว 15.89 ล้านไร่ คิดเป็น 93.52% จากที่ตั้งเป้าไว้ 17 ล้านไร่ โดยกรมฯ ได้เข้าไปปรับเปลี่ยนระบบการผลิตจากเกษตรเคมีมุ่งสู่เกษตรลดการใช้สารเคมี หรือถึงขั้นเกษตรอินทรีย์ โดยการจัดตั้งกลุ่ม อบรม สาธิตวิธีการผลิตและการใช้สารอินทรีย์ทดแทนรวมทั้งสิ้น 17,284 กลุ่ม อบรมเกษตรกรจำนวน 840,663 ราย เรียกว่าขณะนี้มีกลุ่มเกษตรกรใช้สารอินทรีย์ทดแทนสารเคมีครอบคลุมอยู่เกือบ ทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ

ดังนั้น เพื่อเป็นการพัฒนาระบบการผลิตเกษตรอินทรีย์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น กรมฯ จึงได้ตั้งเป้าส่งเสริมการผลิตเกษตรอินทรีย์เพื่อส่งออก โดยกรมฯ จะเป็นตัวกลางทำหน้าที่ประสานกับหน่วยงานที่มีหน้าที่รับรองมาตรฐานสินค้า เกษตรอินทรีย์ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เช่น สำนักงานมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ (มกท.) ให้เข้ามาตรวจรับรองสินค้าของกลุ่มเกษตรกรที่กรมพัฒนาที่ดินจัดตั้งขึ้น เบื้องต้นตั้งเป้าส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์เพื่อส่งออกจำนวน 2 แสนไร่ โดยเน้นพืชสมุนไพร และผักที่ขนส่งสะดวก อาทิ ขิง ข่า ตะไคร้ ใบโหระพา กะเพรา พริก

ปัจจุบัน มีพื้นที่ผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ส่งออกไปตลาดต่างประเทศแล้วไม่ต่ำกว่า 80,000 ไร่ ซึ่งตลาดยังมีความต้องการสูงมาก ดังนั้น จึงเชื่อมั่นว่าถ้ากรมฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการประสานงานให้หน่วยงานเข้า มารับรองมาตรฐานสินค้าให้กับกลุ่มเกษตรกรที่กระจายอยู่ทั่วประเทศได้ก็จะ ช่วยลดขั้นตอนให้กับเกษตรกร เป็นการเปิดโอกาสให้เกษตรกรเข้าถึงการรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรอินทรีย์ได้ มากขึ้น ส่งผลให้จำหน่ายสินค้าได้ราคาดีขึ้นด้วย

เห็นว่าภายในปีนี้ กรมพัฒนาที่ดินเขาจะรวบรวมแหล่งผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ของกลุ่มเกษตรกรจาก ทั่วประเทศมาใส่ไว้ในฐานข้อมูลสารสนเทศของกรมฯ เพื่อเปิดให้บริการกับผู้ประกอบการหรือพ่อค้าที่ต้องการติดต่อซื้อขายสินค้า เกษตรอินทรีย์กับกลุ่มเกษตรกร แต่ไม่รู้จะไปติด ต่อได้ที่ไหน ก็จะได้มีช่องทางในการติดต่อ ซื้อขายสินค้ากันสะดวกยิ่งขึ้น นับเป็นการเปิดโอกาสให้เกษตรกรได้เข้าถึงแหล่งรับซื้อได้โดยตรงนั่นเอง.

การทำไข่เค็มสมุนไพร


การทำไข่เค็มสมุนไพร สูตรพอกเยื่อฟางข้าว
ไข่เค็มสมุนไพร พอกเยื่อฟางข้าว

ขึ้นชื่อว่า “ไข่” แล้วไม่ว่าจะเป็นไข่อะไร ก็อร่อยและได้คุณค่าอาหารไม่แตกต่างกัน แต่สำหรับยุคสมัยนี้ ไข่อย่างเดียวคงไม่เพียงพอ เพราะนอกจาก ราคาถูก คุณค่าอาหารต้องทวีคูณด้วย

อาจารย์สุภกาญจน์ พรหมขันธ์ จากสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการผลิตอาหาร คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) อีสาน วิทยาเขตสกลนคร จึงคิดค้นงานวิจัย “ผลิตไข่เค็มสมุนไพรชนิดโซเดียมต่ำพอกด้วยเยื่อฟางข้าว” ที่นอกจากเพิ่มคุณค่าทางอาหารสำหรับคนรักสุขภาพแล้ว ยังเป็นการช่วยเกษตรกรอีกทางหนึ่งด้วย เพราะปัจจุบันดินจอมปลวกที่ใช้ทำไข่เค็มนั้นเริ่มขาดแคลน เรื่อย ๆ แล้ว

อ.สุภกาญจน์ เล่าว่า ปัจจุบันดินจอมปลวกที่ใช้ทำไข่เค็มนั้นเริ่มขาดแคลนรวมถึงมีขั้นตอนการ เตรียมดินที่ยุ่งยาก อีกทั้งกำไรต่ำมากเมื่อเทียบกับต้นทุนแรงงาน ดังนั้น หากสามารถนำวัสดุอื่นที่มีในท้องถิ่นและหาได้ง่ายมาพอกไข่แทนดินได้ จะช่วยเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ผลิตและผู้บริโภคในการนำไปบริโภคและจำหน่าย โดยไม่ต้องเสียเวลาในการทำความสะอาด

“ไข่เค็ม เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการถนอมอาหารโดยใช้เกลือ เพื่อให้ไข่เก็บไว้ได้นานขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับไข่ด้วย มีทั้งไข่เป็ดเค็ม ไข่ไก่เค็ม และไข่นกกระทาเค็ม ซึ่งไข่เค็ม เป็นอาหารที่คนไทยนิยมรับประทานกันมาก เนื่องจากมีวิธีการทำง่าย สะดวกในการรับประทาน และใช้ประกอบอาหารอื่นได้มาก เช่น ทำอาหารคาว ทำไส้ขนมเปี๊ยะ ไส้ขนมไหว้พระจันทร์ ใช้ตกแต่งอาหารบางอย่าง เป็นต้น”

สำหรับยุคนี้ “ไข่เค็ม” อย่างเดียวคงไม่พอ เพราะใคร ๆ ก็นิยมรักสุขภาพกันมากขึ้น อ.สุภกาญจน์ เล่าต่อถึงจุดเด่นของไข่เค็มสมุนไพรชนิดโซเดียมต่ำพอกด้วยเยื่อฟางข้าว ว่านอกจากขั้นตอนการทำและวัสดุในการพอกสามารถหาได้ง่ายแล้วสิ่งที่โดดเด่น อีกอย่างก็คือการใช้สมุนไพรอย่างตะไคร้ ใบมะกรูด และสมุนไพรอื่น ๆมาผสมกับเยื่อฟางข้าวสำหรับพอกไข่ซึ่งนอกจากจะลดความคาวของไข่แล้วยังได้ กลิ่นสมุนไพรเวลารับประทานด้วย และที่สำคัญยังลดการใช้เกลือโซเดียมคลอไรด์โดยใช้เกลือโปแตสเซียมคลอไรด์แทน จึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนรักสุขภาพ

การทำไข่เค็มมี 2 วิธี คือไข่เค็มที่ได้จากการนำไข่เป็ดสดมาแช่ในสารละลายเกลือ ที่มีความเข้มข้นร้อยละ 20-25 เป็นเวลานาน 15-20 วัน และไข่เค็มพอก ที่เป็นวิธีการดั้งเดิมของชาวจีน และปฏิบัติต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ โดยใช้ดินเหนียวซึ่งปัจจุบันนิยมใช้ดินจอมปลวกผสมกับเกลือเข้มข้นร้อยละ 25-30 จนดินนิ่มสามารถปั้นเป็นก้อนได้ จึงนำดินมาพอกไข่ไว้เป็นเวลานาน 10-15 วัน ไข่เค็มพอกดินที่ขึ้นชื่อในบ้านเราได้แก่ไข่เค็มไชยา ไข่เค็มปักธงชัย เป็นต้น

แต่ “ไข่เค็มสมุนไพรชนิดโซเดียมต่ำพอกด้วยเยื่อฟางข้าว” อ.สุภกาญจน์ บอกว่า ขั้นตอนการทำนั้นเริ่มจาก การเตรียมไข่เป็ดสดโดยนำไข่เป็ดขนาดกลางที่มีอายุการเก็บไม่เกิน 1 สัปดาห์ มาล้างทำความสะอาดและเช็ดให้แห้ง คัดไข่ที่แตกและมีรอยร้าว ออก เพื่อป้องกันไข่เน่าระหว่างการพอก จากนั้นเตรียมเยื่อฟางข้าวโดยคัดคุณภาพของฟางข้าวที่ได้จากการเก็บใหม่ ๆ ที่มีอายุการเก็บรักษาไม่เกิน 3-4 เดือน ฟางข้าวจะต้องไม่ผุ ไม่ขึ้นรา และไม่มีกลิ่นเหม็นอับ นำฟางข้าวที่คัดมาตากแดดให้แห้ง เก็บใส่ถุงพลาสติกที่ปิดสนิท

ส่วน ขั้นตอนการต้มเยื่อฟางข้าว ที่ดัดแปลงจากกรรมวิธีการผลิตกระดาษสาด้วยวิธีชาวบ้านคือ ชั่งน้ำหนักฟางข้าวแห้งเติมน้ำต่อฟางข้าวในอัตราส่วน 1 ต่อ 8 และหาวัสดุหนัก ๆ มากดทับฟางข้าว แช่ทิ้งไว้ 1 คืน นำฟางข้าวที่แช่น้ำมาต้มที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส นาน 40 นาที ในสารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) ความเข้มข้น ร้อยละ 2 จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาดจนเยื่อฟางข้าวมีความเป็นกรดด่าง (pH) ประมาณ 7-7.5 จากนั้นนำเยื่อฟางข้าวที่ได้มาอบแห้งที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส นาน 6-8 ชั่วโมง หรือตากแดดนาน 1 วันก็จะได้เยื่อฟางข้าวที่พร้อมใช้งานได้ตลอด โดยสามารถเก็บในถุงพลาสติกที่ปิดสนิทเพื่อใช้ในขั้นตอนต่อไป

ต่อมา ขั้นตอนการเตรียมเกลือโซเดียมคลอไรด์เริ่มจากนำไปอบในตู้อบอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส นาน 3 ชั่วโมง จนเกลือแห้ง นำไปบดแล้วร่อนผ่านตะแกรงขนาด 1 มิลลิเมตร เก็บใส่ถุงพลาสติกที่ปิดสนิท เพียงเท่านี้ก็พร้อมสำหรับการผลิตไข่เค็มที่มีขั้นตอนคือ นำเยื่อฟางข้าวที่เตรียมไว้มาผสมกับน้ำ เกลือ และน้ำสมุนไพรตามต้องการจะได้เยื่อฟางข้าวที่เปียกหลังจากนั้นก็สามารถนำไป พอกหุ้มไข่เป็ดที่เตรียมเอาไว้ จากนั้นนำไข่ที่พอกเสร็จบรรจุใส่ถุงพลาสติกชนิดมีซิปเก็บไว้นาน 25 วัน เพียงเท่านี้ก็จะได้ไข่เค็มสมุนไพรชนิดโซเดียมต่ำพอกด้วยเยื่อฟางข้าวสำหรับ จำหน่ายและรับประทานในครอบครัว

อ.สุภกาญจน์ บอกว่า ต้นทุนในการทำไข่เค็มสมุนไพรชนิดโซเดียมต่ำพอกด้วยเยื่อฟางข้าวนั้นอยู่ที่ ฟองละประมาณ 5 บาทและสามารถขายได้ในราคาฟองละ 8 บาท ขึ้นไป

การเลี้ยงปลาดุกไฟฟ้ายักษ์


ปลาดุกไฟฟ้ายักษ์

“ปลาดุกไฟฟ้ายักษ์” เป็นปลาที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในทวีปแอฟริกา ปัจจุบันในธรรมชาติจะพบเฉพาะในแม่น้ำคองโกเท่านั้น ไม่พบในประเทศไทย จัดเป็นปลาที่ชอบอาศัยอยู่ในน้ำนิ่งหรือน้ำไหลเอื่อย ๆ ชอบอาศัยตามโพรงหิน โพรงไม้และตามรากไม้จมน้ำที่มีแสงผ่านได้น้อยหรือเป็นน้ำหมักที่มีการสะสม ของสารอินทรีย์ เช่น ใบไม้ทับถมกันและมีอุณหภูมิของน้ำเฉลี่ย 23-28 องศาเซลเซียส ลักษณะรูปร่างของปลาดุกไฟฟ้ายักษ์จะมีรูปร่างกลมและยาวคล้ายไส้กรอก ไม่มีครีบหลังแต่จะมีครีบไขมันขนาดใหญ่ ที่อยู่ค่อนไปทางส่วนท้ายของลำตัวติดกับครีบหาง

คุณชวิน ตันพิทยคุปต์ หนึ่งในผู้ที่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงปลาแปลกและสวยงาม ทั้งในและต่างประเทศได้ย้ำว่าปลาดุกไฟฟ้ายักษ์ไม่พบในแหล่งน้ำในประเทศไทย ใครที่ซื้อมาเลี้ยงเป็นปลาแปลกและปลาสวยงามแล้วเบื่อ ห้ามปล่อยลงสู่แหล่งน้ำไทยอย่างเด็ดขาด ลักษณะเด่นของปลาชนิดนี้จะมีอวัยวะที่สร้างไฟฟ้าเรียงตัวอยู่บริเวณด้านข้าง ของลำตัว สามารถสร้างกระแสไฟฟ้า ที่รุนแรงได้ถึง 350 โวลต์ โดยกระแสไฟฟ้าดังกล่าวใช้เป็นอาวุธป้องกันตัวและฆ่าเหยื่อที่จะจับกิน บริเวณลำตัวมีสีเทา มีจุดประสีดำขนาดใหญ่และเล็กกระจายอยู่ทั่วลำตัว จัดเป็นปลาที่ค่อนข้างดุร้ายจึงไม่ควรเลี้ยงรวมกับปลาชนิดอื่น แม้แต่เลี้ยงรวมด้วยกันจะพบปัญหากัดกันเอง

อาหารหลักของปลาดุกไฟฟ้ายักษ์คือปลาเล็ก ๆ ทุกชนิด แต่จัดเป็นปลาที่เคลื่อน ที่ช้า ไม่ว่องไว ดวงตามีขนาดเล็กและใช้การได้ไม่ดีนัก วิธีการล่าเหยื่อจะใช้กระแสไฟฟ้าช็อตให้ปลาหมดสติหรือตายทันทีแล้ว ค่อยกลืนกินเป็นอาหาร คุณชวินยังบอกว่าหลายคนจะไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างปลาดุกไฟฟ้ายักษ์ กับปลาดุกไฟฟ้า กับปลาดุกธรรมดา

ข้อแตกต่างที่สำคัญประการแรกก็คือขนาดและการเจริญเติบโต ปลาดุกไฟฟ้าธรรมดาที่อาศัยอยู่ในธรรมชาติจะเจริญเติบโตได้เต็มที่มีความยาว ของลำตัวได้ถึง 1 เมตร เรียกได้ว่าตัวใหญ่ที่สุดในบรรดาปลาดุกไฟฟ้าทุกชนิด แต่เมื่อนำมาเลี้ยงในตู้เป็นปลาสวยงาม จะเจริญเติบโตช้ามากจากประสบการณ์ของคุณชวินเคยพบมาโตเต็มที่ไม่เกิน 12 นิ้ว ในขณะที่ปลาดุกไฟฟ้ายักษ์เมื่อนำมาเลี้ยงในตู้พบว่าเจริญเติบโตเร็วมากขณะ นี้มีคนเลี้ยงได้ขนาดลำตัวถึง 50-60 เซนติเมตรก็มี สำหรับข้อแตกต่างปลีกย่อยอื่น ๆ ก็คือรูปร่างลักษณะอื่น ๆ อาทิ ส่วนหัวของปลาดุกไฟฟ้าธรรมดาจะสั้นกลม จะงอยปากสั้นทู่ แต่ส่วนหัวของปลาดุกไฟฟ้ายักษ์จะลาดยาวเรียวแหลมกว่าชัดเจน จะงอยปากยาวช่องเปิดของปากมีขนาดเล็กกว่าส่วนของลำตัวปลาดุกไฟฟ้าธรรมดาจะมี ลำตัวสีน้ำตาลอมชมพู ในขณะที่ปลาดุกไฟฟ้ายักษ์มีสีเทา

ปลาดุกไฟฟ้ายักษ์จัดเป็นปลาที่เลี้ยงง่ายชนิดหนึ่ง ระมัดระวังเรื่องอาการผิดน้ำ หลังจากที่ย้ายปลามาลงใหม่ ทราบกันดีอยู่แล้วว่าปลาชนิดนี้ชอบน้ำเก่าหรือน้ำหมัก.

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

...เที่ยวเชียงรายกันจรัา...

อำเภอแม่สาย

อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงราย 62 กม.อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงราย 62 กม. ตามทางหลวงหมายเลข 110 เป็นอำเภอเหนือสุดของประเทศไทย ติดต่อกับประเทศพม่าที่ท่าขี้เหล็ก โดยมีแม่น้ำแม่สายเป็นพรมแดน มีสะพานเชื่อมเมืองทั้งสองเข้าด้วยกัน ทั้งชาวเขาและชาวพม่าเดินทางไปมาหาสู่ค้าขายกันโดยเสรี นักท่องเที่ยวชาวไทยสามารถเดินทางไปยังท่าขี้เหล็กของพม่าเพื่อซื้อสินค้าพื้นเมืองและสินค้าราคาถูกอื่นๆ เช่น ตะกร้า เครื่องทองเหลือง สบู่พม่า สมุนไพร บุหร่ ฯลฯ นักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางเข้าเขตพม่า ได้ตั้งแต่เวลา 6.00-18.00 น. โดยนำบัตรประชาชนและเสียค่าธรรมเนียมคนละ 20 บาท ที่จุดผ่านแดน (สำหรับชาวต่างประเทศ 5 เหรียญสหรัฐ และใช้พาสปอร์ต ติดต่อที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองแม่สาย )

 สถานที่ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว
ท่องเที่ยว

------------------------------------------------

ถ้ำปุ่ม ถ้ำปลา ถ้ำเสาหินพญานาค

ตั้งอยู่ที่ดอยจ้อง หมู่11 ตำบลโป่งผา อำเภอแม่สาย ห่างจากอำเภอแม่สายไปทางทิศใต้ตามทางหลวงหมายเลข 110 ประมาณ 12 กิโลเมตร มีทางแยกเข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร ดอยจ้องเป็นภูเขาหินปูนจึงประกอบด้วย ถ้ำหินงอก หินย้อย และทางน้ำไหลมากมาย
ถ้ำปุ่ม นั้นอยู่สูงขึ้นไปยอดเขา ต้องปีนขึ้นไป ภายในถ้ำมืดมาก ต้องมีผู้นำทางเที่ยวชม
ถ้ำปลา เป็นถ้ำหนึ่งที่มีน้ำไหลภายในถ้ำ เคยมีปลาชนิดต่าง ทั้งใหญ่น้อยว่ายออกมาให้เห็นเป็นประจำ ภายในถ้ำยังมีพระพุทธรูปศิลปะพม่า สร้างขึ้นโดยพระภิกษุชาวพม่า เมื่อ 50 กว่าปีก่อน ประชาชนทั่วไปเรียกว่า "พระทรงเครื่อง" เป็นที่เลื่อมใสของประชาชนในแถบนี้ br> ถ้ำเสาหินพญานาค อยู่ในบริเวณเดียวกัน เดิมต้องพายเรือข้ามน้ำเข้าไปชม ภายหลังได้สร้างทางเดินเชื่อมกับถ้ำปลา เป็นระยะทาง 150 ม. ภายในถ้ำมีหินงอก หินย้อย และยังเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมด้วย

 สถานที่ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว
ท่องเที่ยว
------------------------------------------------


พระธาตุดอยเวา

ตั้งอยู่หมู่ที่1 ต.แม่สาย บนดอยริมฝั่งแม่น้ำสายตามประวัติกล่าวว่า พระองค์ วาหรือเว้าผู้ครองนครนาคพันธ์ เป็นผู้สร้างเพื่อบรรจุพระเกศาธาตุองค์หนึ่ง เมื่อ พ.ศ. 364 นับเป็นพระบรมธาตุที่เก่าแก่องค์หนึ่งรองมาจากพระบรมธาตุดอยตุง

------------------------------------------------

ถ้ำผาจม

ตั้งอยู่หมู่ที่1 ต.แม่สาย อยู่ห่างจากอ.แม่สายไปทางทิศเหนือประมาณ 1.5 กม. ถ้าผาจมตั้งอยู่บนดอยอีกลูกหนึ่ง ทางทิศตะวันตกของดอยเวา ติดกับแม่น้ำสาย เคยเป็นสถานที่ซึ่งพระภิกษุสงฆ์นั่งบำเพ็ญเพียรภาวนา เช่น พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ปัจจุบันมีรูปปั้นของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ประดิษฐานไว้บนดอยด้วย ภายในถ้ำผาจมมีหินงอกหินย้อยอยู่ตามผนังและเพดานถ้ำ สวยงามวิจิตรตระการตา

------------------------------------------------

ขุนน้ำนางงอน

อยู่ที่บ้านจ้อง หมู่1 ต.โป่งผา อ.แม่สาย ห่างจากอำเภอแม่สายไปทางทิศใต้ ตามทางหลวงหมายเลข 110 ไปประมาณ 7 กม. แล้วแยกทางขวาเข้าไป 2 กม. เป็นแอ่งน้ำไหลจากถ้ำบริเวณเชิงดอยจ้องซึ่งมีหลายถ้ำ น้ำในแอ่งใสเย็น สภาพแวดล้อมร่มรื่นด้วยไม้ใหญ่น้อย ประชาชนในท้องถิ่นนิยมเข้ามาพักผ่อน

ปาย แม่ฮ่องสอน

เส้นทางสู่ความสดชื่นและสดใส

ปาย เมืองเล็ก ๆ ที่ถูกโอบล้อมไปด้วยขุนเขา สูงตระหง่านเป็นรอยต่อชายแดนไทย-พม่า ฤดูหนาวอากาศเย็นจัด เมืองเล็กๆแห่งนี้มักปกคลุมด้วยสายหมอก ละอองน้ำจางๆยามเช้า บรรยากาศอันเงียบสงบ ทุ่งนาสีเขียว ท้องฟ้าสีคราม กับแสงแดดอุ่นๆ ที่ทอดผ่านม่านหมอกหนา แลเห็นต้นสนไม้ยืนต้นเมืองหนาวสูงใหญ่เป็นทิวแถวตามเชิงเขา วิถีชีวิตที่เรียบง่ายของผู้คน ด้วยความเป็นเอกลักษณ์นี้ ปายได้ดึงดูดนักเดินทางให้มาสัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งนี้


ปลาย พ.ย. ปี 50 ล่าสุดนี้ ปายรอบที่ 3 ผมประมวลภาพ ตัวเมืองปายแบบระเอียด ตามซอยตามมุม บวกรีสอร์ทใหม่ๆ ถึงใหม่ที่สุด อีกเพียบ แถมข้อมูล บ้านวัดจันทร์ อีก อ้อ...คงอยากรู้แล้วซิว่า บ้านวัดจันทร์ คืออะไร คลิกนี้เลย บ้านวัดจันทร์ เออ...ลืมบอกไป 5 รูปแรกในหน้าเว็บนี้...ผมถ่ายที่ บ้านวัดจันทร์

 สถานที่ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว
ปายไปแล้วไม่อยากกลับ!
ท่องเที่ยว

ปายได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั้งยุโรป ญี่ปุ่น มานานแล้ว สำหรับคนไทยแล้ว เพิ่งบูม 2 -3 ปีที่ผ่านมา สำหรับปีใหม่ปีนี้ ที่ปายนั่งท่องเที่ยวเยอะเป็นพิเศษ ที่พักหลายที่เต็มไปตั้งแต่ ปลายเดือนตุลาคม ฝนยังไม่หมดดีเลย ก็เต็มกันซะแล้ว ช่วงวันหยุดต่อเนื่องยาวๆ เดือนธันวา โดยเฉพาะปลายปี อันนี้ไม่แนะนำให้ไปครับ นักท่องเที่ยวเยอะมากเกินไป ต้องไปแย่งเข้าคิวกันทานอาหาร แถมยังราคาที่พักก็สูงกว่าปกติเป็นพิเศษ คงไม่สนุกแน่ ยังมีอะไรอีกเยอะ...


สถานที่เที่ยวแห่งนึงที่ไม่ควรพลาดหากผ่านมาจากเชียงใหม่(ถนนสายแม่มาลัย) คือ อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง (Huai Nam Dang National Park) รอบที่ 3 นี้ผมเองก็พักที่อุทยานฯที่นี่ 1 คืน ก่อนไปปาย อีกแห่งที่ผมเพิ่งไปเก็บข้อมูลมาคือ โครงการเกษตรที่ราบสูงบ้านวัดจันทร์ แต่เข้าไปลำบากหน่อย 38 กม.ได้ ทางคดเคี้ยวขึ้นเขา น้องๆ กับทางที่มาเชียงใหม่-ปาย เลยทีเดียว จุดเด่นคือ บรรยากาศยามเย็นและเช้า อากาศสดชื่นบนที่ราบสูง ป่าสนธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ วิถีชีวิตชาวเขาปากะญอ โครงการเกษตรต่างๆ แต่ที่บ้านวัดจันทร์นี้ไม่เหมาะกับคนที่เบื่อการนั่งรถ และชอบความสะดวกสบาย


 สถานที่ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว
ท่องเที่ยว
เรารอคุณอยู่ เน้อ...


 สถานที่ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว
ชีวิต ยามคำคืน บาร์ เบียร์ ร้านอาหารแบบง่าย กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติดอกบัวตอง บานเต็มทุ่ง มีให้เห็นอยู่ทั่วไปสะพานประวัติศาสตร์ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ท่องเที่ยว



ล่องแพยาง
อำเภอปาย นับว่าเป็นแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้ริเริ่มกิจกรรมนี้ การล่องแพยางไปตามสายน้ำ แม่น้ำปาย เป็นแม่น้ำที่มีเกาะแก่งมากที่สุดและสวยงาม มาก เป็นกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวมาเที่ยวเมืองนี้มักจะไม่พลาด การล่องแพท่านสามารถเลือกได้ ในโปรแกรม 1 วัน หรือ 2 วัน โดยส่วนใหญ่โปรแกรมการล่องแก่งจะไปเริ่มที่ลำน้ำของ ในเขต อ.ปางมะผ้า และไปสิ้นสุดที่ลำน้ำปายในพื้นที่ของที่ทำการอุทยานแห่งชาติน้ำตกแม่สุรินทร์ บ้านปางหมู อ.เมือง แม่ฮ่องสอน ในระหว่างการล่องแก่งท่านจะได้พบกับความสนุกตื่นเต้น การตั้งแค้มป์ในป่า การแช่โคลนจากบ่อน้ำพุร้อนตามธรรมชาติ เพื่อผิวพรรณเปล่งปลั่ง กิจกรรมการล่องแก่ง จะมีในช่วงเดือน ต้นเดือนมิถุนายนและไปสิ้นสุดในเดือนกุมภาพันธ์ของปีต่อไป ในช่วงถดูแล้งน้ำน้อยจะไม่สามารถล่องแก่งได้ ก่อนการล่องแพท่านจะได้รับการฝึกการพายเรือ และการแนะนำ วิธีการปฏิบัติในการพายแพยางอย่างละเอียดจากผู้คัดท้ายเรือ หรือที่เรียกว่า กัปตัน การล่องแพควรจะนัดแนะกับเพื่อนเพราะแพยางลำหนึ่งต้องมีผู้ร่วมพายอย่างน้อย 4 คน

ทานอะไรที่ไหนดี

มีอยู่ 4 ร้านที่อยากแนะนำ

  1. ร้านบ้านปาย จำหน่ายอาหารไทย และฝรั่ง บรรยากาศดีแบบไทยๆ แต่อาหารสั่งแล้วอาจได้นานหน่อย
    ใกล้ถนนคนเดิน บนถนนรังสิยานนท์

  2. ร้านส้มตำ ดิลิเวอร์ลี่ จำหน่ายส้มตำทุกชนิด ไก่ย่าง รับส่ง อาหารจะได้ช้า เครื่องดื่มเสริพเอาเอง ถอดรองเท้าก่อนเข้าร้านด้วย
    อยู่ตรงข้าม ทำว่าการอำเภอ และศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวปาย

  3. ร้านน้องเบียร์ จำหน่ายอาหารไทย ปิดร้านบ่อย อาจไม่มีโอกาสได้ทาน
    อยู่ใกล้ไฟแดงตรงหัวมุม ถัดมาอีกซอยจากร้านบ้านปาย

  4. ร้านอาหารจีนยูนาน (บ้านดิน) อยู่ระหว่างทางไป น้ำตกเมืองแปง และวัดน้ำฮู

*สองร้านหลังนี้จำหน่ายเฉพาะเวลากลางวัน

 สถานที่ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว


ท่องเที่ยว

ร้านบ้านปาย

 สถานที่ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว


ท่องเที่ยว

ส้มตำหน้าอำเภอ

 สถานที่ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว


ท่องเที่ยว

ร้านน้องเบียร์

---------------------------------------

10 classic photo icons ที่นักถ่ายรูปไม่ควรพลาด

1. ทุ่งนาอันเขียวขจี

 สถานที่ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว
ท่องเที่ยว

2. เขาสูงชันสลับซับซ้อน

 สถานที่ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว
ท่องเที่ยว

3. ดอกบัวตอง

 สถานที่ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว
ท่องเที่ยว

4. ร้านอาหารบ้านปายยามค่ำคืน

 สถานที่ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว
ท่องเที่ยว

5.ร้าน post card บนถนนคนเดินยามค่ำคืน

 สถานที่ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว
ท่องเที่ยว

6. ชุมนุม ป้ายโฆษณา

 สถานที่ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว
ท่องเที่ยว

7. สะพานประวัติศาสตร์สมัยสงครามโลก

 สถานที่ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว
ท่องเที่ยว

8. หลัก กม. 0 ปาย ผมเองหาไม่เจอ ก็เลยถ่าย กมที่ 1 มาแทน
(เลยให้
slogan ว่า กว่าจะถึงปาย)

 สถานที่ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว
ท่องเที่ยว

9. เจดีย์วัด แบบพม่า

 สถานที่ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว
ท่องเที่ยว

10. บ้านเขาวเขาชาวกระเหรี่ยง

 สถานที่ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว
ท่องเที่ยว

เส้นทางปั่นจักรยาน

กิจกรรมที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวคือ ปั่นจักรยาน ลองไปปั่นจักรยานที่อำเภอปาย บนเส้นทางจักรยานสายปาย-น้ำพุร้อนท่าปาย เป็นเส้นทางง่าย ๆ สบาย ๆ ระยะทางไม่เกิน 10 กิโลเมตร ควรออกจากเมืองปายตอนเช้าเริ่มเดินทางโดยขี่ไปที่สี่แยกกลางเมืองผ่านหน้าโรงเรียนปายวิทยาคาม จากนั้นมุ่งหน้าไปยังสะพานข้ามแม่น้ำปาย ขี่ต่อไปอีกนิดจะพบทางแยกขึ้น อ่างเก็บน้ำแม่เย็น เส้นทางตรงนี้จะมองเห็นทุ่งนาขั้นบนไดเป็นฉากหลังสวยงามมาก จากปากทางอ่างเก็บน้ำจะพบทางแยกให้เลี้ยวขวา แล้วพบทางเข้าวัดแม่เย็นซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าบนยอดเขา จากบนวัดสามารถชมวิวที่ราบลุ่มเมืองปายอันสวยงามได้ จากนั้นเส้นทางจะนำต่อเข้าสู่ หมู่บ้านแม่ฮี้ ปั่นต่อไปเป็นหมู่บ้านโป่งไหม้ ที่แห่งนี้นี้มีช้างให้ขี่ท่องเที่ยวในป่า จากหมู่บ้านนี้ไปอีกหน่อยก็ถึง ปากทางเข้าน้ำพุร้อนท่าปาย เป็นบ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติจำนวน 3-5 บ่อ มีที่อายน้ำแร่เล็ก ๆ แยกห้องหญิงชาย เมื่อขี่จักรยานไปถึงที่นี่ แล้วจะแวะอาบน้ำแร่หรือใช้เป็นที่พักผ่อนปิคนิค รับประทานอาหารกลางวันด้วยก็ดี

ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแสนสงบกลางหุบเขา ตั้งอยู่ท่ามกลางบรรากาศงดงามสุดโรแมนติก โดยเฉพาะเมื่อฤดูหนาวมาเยือน นักเดินทางมากมายต่างมุ่งหน้ามาสัมผาลมหนาวกันอย่างไม่ขาดสาย เมืองปายที่เคยหลับใหลจะคึกคักขึ้นมาถนัดตา