วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

บ้านรักไทย จ.แม่ฮ่องสอน

บ้านรักไทย ตั้งอยู่หมู่ที่ 6 ตำบลหมอกจำแป่ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นหมู่บ้านชาวจีนยูนานอดีต ทหารจีนคณะชาติ (กองพล 93) “ก๊กมินตั๊ง” บ้านรักไทยอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล กว่า 1,776 เมตร ทำให้พื้นที่หมาะสม สำหรับกับการปลูกชาพันธุ์ดีและพืชเมืองหนาว ทิวทัศน์ของหมู่บ้านโอบล้อมไปด้วยทิวเขา และต้นไม้ที่อุดมสมบูรณ์ บ้านรักไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อในเรื่องของชา และขาหมูหมั่นโถว คล้ายกับดอยแม่สลอง นักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวที่แห่งนี้เพื่อดื่มด่ำกับการชิมชา และ รับประทานขาหมูหมั่นโถว โดยชื่นชอบกับความเงียบสบายของบ้านรักไทยแห่งนี้ ซึ่งยังมีกิจกรรมหลายอย่างไว้ให้นักท่องเที่ยวได้สนุกสนานเช่น การเดินป่าศึกษาเส้นทางโดยมัคคุเทศน์น้อยพาเข้าไปชม "คุกดิน" และการขี่ม้าพาข้ามแดนไปฝั้งพม่า นอกจากนั้น ที่บ้านรักไทยยังมีเกสถ์เฮาส์ริมน้ำ (บ้านดิน) ไว้บริการนักท่องเที่ยวที่ต้องกับสัมผัสกับธรรมชาติแบบใกล้ชิดอีกด้วยการเดินทางไปบ้านรักไทย ออกจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนไปตามทางหลวง 1095 แม่ฮ่องสอน-แม่มาลัย ไปทางอำเภอปาย ถึงแยกบ้านกุงไม้สัก (ไม่ไกลจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนนัก) จะพบป้ายบอกเส้นทางไปบ้านรักไทย โดยเลี้ยวซ้ายไปตามทางที่ไปภูโคลนคันทรีคลับ ตามเส้นทางจะมีที่เที่ยวมากมาย เช่น น้ำตกผาเสื่อ โครงการตามพระราชดำริปางตอง โครงการธนาคารอาหาร บ้านรวมไทย (ปางอุ๋ง) แล้วก็ถึง บ้านรักไทย หมู่บ้านสุดท้ายติดชายแดนเมียนม่า (พม่า)

ยาคูลท์

ยาคูลท์ (ญี่ปุ่น: ヤクルト Yakuruto ?) ชื่อในภาษาอังกฤษว่า Yakult เป็นเครื่องดื่มคล้ายโยเกิร์ตชนิดหนึ่ง เกิดจากกระบวนการหมักของนมพร่องมันเนยกับน้ำตาลและแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus casei Shirota) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่พบในระบบดูดซึมอาหารของมนุษย์ ซึ่งส่งผลช่วยให้ระบบในร่างกายของมนุษย์ทำงานได้ดีขึ้น ชื่อของยาคูลท์มาจากภาษาเอสเปรันโต คำว่า jahurto รูปเก่าของ jogurto ซึ่งหมายถึงโยเกิร์ต
ยาคูลท์ถูกคิดค้นโดย ศาสตราจารย์ชิโระตะ มิโนะรุ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเกียวโต ใน พ.ศ. 2473 และต่อมาใน พ.ศ. 2478 เขาได้ก่อตั้งบริษัทยาคูลท์ (Yakult Honsha Co., Ltd.) ในเมืองมินะโตะ จังหวัดโตเกียว
ปัจจุบันได้มีการผลิตและจำหน่ายยาคูลท์ไปทั่วโลก
ทีม
เบสบอล โตเกียว ยาคูลท์สวอลโลวส์ (Tokyo Yakult Swallows) ตั้งชื่อทีมตามบริษัทยาคูลท์ภายหลังที่บริษัทยาคูลท์ได้ซื้อทีมในปี พ.ศ. 2513
พ.ศ. 2514 ยาคูลท์ เริ่มวางจำหน่ายในประเทศไทย

วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คุณรู้หรือไม่ว่า

คุณรู้หรือไม่ว่าชนชาติใดที่ฉลาดที่สุดในโลก ? 
และชนชาติใดที่หน้าตาดีที่สุด ?

1. มนุษย์มีทั้งหมด 3 เผ่าพันธุ์หลัก คือ
- คอเคซอยด์ เช่น ฝรั่ง, เเขกขาว, ละติน
- มองโกลอยด์ เช่น เอเชียตะวันออก, เเขกดำ, อินเดียนเเดง, เอสกิโม
- นิกรอยด์

2. ชนชาติที่มีสายพันธุ์เเละลักษณะทางกายภาพใกล้เคียงกับคนไทยแท้ที่สุดคือ "ลาว" เป็นมองโกลอยด์สาย "เซียมมอยด์" เหมือนกัน

3. แขกขาวคือ ฝรั่ง (คอเคซอยด์) สายพันธุ์หนึ่ง แต่ตัวเล็กกว่าและขนเยอะกว่าฝรั่งทั่วไป

4.แขกดำ คือ มองโกลอยด์ (คนเอเชีย) ผสมกับนิโกร แขกดำของแท้แทบไม่มีขน มีดั้งเล็กน้อย ดาราอินเดียที่เห็นสวย ๆ คล้ำ ๆดั้งโด่ง ๆ อย่างพิงกี้ คือ แขกดำมาผสมกับแขกขาวอีกที

5. นิกรอยด์ (นิโกร) เป็นสายพันธุ์ที่มียีนแรงที่สุด
- ถ้าเเต่งกะคอเคซอยด์ (ฝรั่ง) ลูกจะออกมาดำแต่ยังพอมีเชื้อคอเคซอยด์บ้าง
- ถ้าแต่งกะมองโกลอยด์ (เอเชีย) ยีนมองโกลอยด์จะถูกลบออกหมดเลย
**ดาราฝรั่งที่เราเห็นผิวคล้ำๆ (ไม่ถึงกับดำเหมือนนิโกร) หน้าสวย ๆ อย่างบียอนเซ่หรือ ฮัลลี่ เบอร์รี่ นี่ไม่ใช่ลูกครึ่งนิโกร แต่เป็นลูกเสี้ยวของเสี้ยวของเสี้ยวนิโกรอีกที

6. ถ้าทั่วโลกมีมนุษย์แต่ละสายพันธุ์จำนวนเท่ากันมองโกลอยด์ (พวกเรานี่เเหล่ะ) จะสูญพันธุ์ไวที่สุด เพราะมียีนอ่อนที่สุด แต่งกับพันธุ์ไหนก็จะถูกกลบเเทบหมด

7. มองโกลอยด์เป็นสายพันธุ์ที่มีไอคิวเฉลี่ยสูงที่สุด (สบายใจได้คงไม่สญพันธุ์ง่ายๆ) แต่ (อ่านข้อต่อไป)

8. หากเเบ่งย่อยออกไปอีก "ยิว" (คอเคซอยด์สายพันธุ์หนึ่ง) จะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดที่สุดในโลก
- ยิว IQ อย่างต่ำ117 (เฉลี่ย IQ 127) หมายถึงชาวยิวที่ IQ 117 จริงๆ นั้นมีเป็นส่วนน้อย ชาวยิวส่วนใหญ่ IQ สูงกว่านี้ !!!!!!

9. IQ เฉลี่ยของคนเชื้อสายต่าง ๆ
- ยิว IQ 117
- เอเชีย(ตะวันออก) IQ 107
- ยุโรปผิวขาว IQ 103
- ละติน IQ 90
- นิโกร IQ 85
- ชนพื้นเมือง IQ 87 - 89

10. ชนชาติที่หน้าตาดีที่สุด
- โลกตะวันตกยกให้แขกขาวเป็นชนชาติที่งามที่สุด เขาถือกันว่าแขกขาวคือฝรั่งพวกหนึ่ง (อพยพมาจากตอนใต้ของรัสเซีย) ที่ถูกคัดสรรมาแล้วให้งามกว่าฝรั่งทั่วไป ตัวเล็กกว่า คิ้วเข้ม ตาสวยกว่า (ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่คนอีกน่ะแหล่ะ ไม่ใช่จะสวยกันทั้งตระกูล)

11. ลูกครึ่งมักจะหน้าตาดีเเละฉลาดกว่าคนทั่วไป
- ถูกต้อง ยิ่งยีนต่างพันธุ์กันมากเท่าไหร่หรือผสมกันหลายชาติมากเท่าไหร่จะยิ่งสวยเเละฉลาดมากเท่านั้น เพราะยีนที่ต่างกันจะทำให้เกิด cross breed คือ ยีนเด่นจะออกมามากกว่ายีนด้อย ยีนด้อยจะถูกลบออกไปมากกว่าคนทั่วไป

12. อาจมีบางคนสงสัยว่าทำไมชาวยิวจึงมี IQ สูงมาก ขอตอบว่า ในประวัติอันยาวนานของชาวยิวนั้น มีกระบวนการที่คล้าย ๆ กับการบำรุงพันธ์สัตว์ในปัจจุบัน กล่าวคือ ส่งเสริมคนฉลาดและเหมือนเป็นการผลักไล่ไสส่งคนโง่ทางอ้อมให้ไปอยู่กับฝรั่งที่ชาวยิวเรียกอย่างดูถูกว่าพวกเจนไต (นอกศาสนา นอกรีต) โดยมีศาสนายูดายเป็นตัวจักรสำคัญ เพราะชาวยิวต้องพยายามทำความเข้าใจในคำสอนของศาสนา ผู้ที่แตกฉานสังคมจะให้การเคารพย่อง เมื่อเป็นดังนี้สาว ๆ ชาวยิวจึงนิยมแต่งงานกับคนพวกนี้ ทำให้ลูกหลานรุ่นต่อ ๆ มาของชาวยิวเต็มไปด้วยเด็กฉลาด ศาสนายูดายยังให้ชาวยิวแต่งงานกับชาวยิวด้วยกันเอง ความฉลาดจึงจำกัดอยู่ในชนเชื้อสายยิวเท่านั้น

คุณรู้หรือไม่ว่า

คุณรู้หรือไม่ว่าชนชาติใดที่ฉลาดที่สุดในโลก ? 
และชนชาติใดที่หน้าตาดีที่สุด ?

1. มนุษย์มีทั้งหมด 3 เผ่าพันธุ์หลัก คือ
- คอเคซอยด์ เช่น ฝรั่ง, เเขกขาว, ละติน
- มองโกลอยด์ เช่น เอเชียตะวันออก, เเขกดำ, อินเดียนเเดง, เอสกิโม
- นิกรอยด์

2. ชนชาติที่มีสายพันธุ์เเละลักษณะทางกายภาพใกล้เคียงกับคนไทยแท้ที่สุดคือ "ลาว" เป็นมองโกลอยด์สาย "เซียมมอยด์" เหมือนกัน

3. แขกขาวคือ ฝรั่ง (คอเคซอยด์) สายพันธุ์หนึ่ง แต่ตัวเล็กกว่าและขนเยอะกว่าฝรั่งทั่วไป

4.แขกดำ คือ มองโกลอยด์ (คนเอเชีย) ผสมกับนิโกร แขกดำของแท้แทบไม่มีขน มีดั้งเล็กน้อย ดาราอินเดียที่เห็นสวย ๆ คล้ำ ๆดั้งโด่ง ๆ อย่างพิงกี้ คือ แขกดำมาผสมกับแขกขาวอีกที

5. นิกรอยด์ (นิโกร) เป็นสายพันธุ์ที่มียีนแรงที่สุด
- ถ้าเเต่งกะคอเคซอยด์ (ฝรั่ง) ลูกจะออกมาดำแต่ยังพอมีเชื้อคอเคซอยด์บ้าง
- ถ้าแต่งกะมองโกลอยด์ (เอเชีย) ยีนมองโกลอยด์จะถูกลบออกหมดเลย
**ดาราฝรั่งที่เราเห็นผิวคล้ำๆ (ไม่ถึงกับดำเหมือนนิโกร) หน้าสวย ๆ อย่างบียอนเซ่หรือ ฮัลลี่ เบอร์รี่ นี่ไม่ใช่ลูกครึ่งนิโกร แต่เป็นลูกเสี้ยวของเสี้ยวของเสี้ยวนิโกรอีกที

6. ถ้าทั่วโลกมีมนุษย์แต่ละสายพันธุ์จำนวนเท่ากันมองโกลอยด์ (พวกเรานี่เเหล่ะ) จะสูญพันธุ์ไวที่สุด เพราะมียีนอ่อนที่สุด แต่งกับพันธุ์ไหนก็จะถูกกลบเเทบหมด

7. มองโกลอยด์เป็นสายพันธุ์ที่มีไอคิวเฉลี่ยสูงที่สุด (สบายใจได้คงไม่สญพันธุ์ง่ายๆ) แต่ (อ่านข้อต่อไป)

8. หากเเบ่งย่อยออกไปอีก "ยิว" (คอเคซอยด์สายพันธุ์หนึ่ง) จะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดที่สุดในโลก
- ยิว IQ อย่างต่ำ117 (เฉลี่ย IQ 127) หมายถึงชาวยิวที่ IQ 117 จริงๆ นั้นมีเป็นส่วนน้อย ชาวยิวส่วนใหญ่ IQ สูงกว่านี้ !!!!!!

9. IQ เฉลี่ยของคนเชื้อสายต่าง ๆ
- ยิว IQ 117
- เอเชีย(ตะวันออก) IQ 107
- ยุโรปผิวขาว IQ 103
- ละติน IQ 90
- นิโกร IQ 85
- ชนพื้นเมือง IQ 87 - 89

10. ชนชาติที่หน้าตาดีที่สุด
- โลกตะวันตกยกให้แขกขาวเป็นชนชาติที่งามที่สุด เขาถือกันว่าแขกขาวคือฝรั่งพวกหนึ่ง (อพยพมาจากตอนใต้ของรัสเซีย) ที่ถูกคัดสรรมาแล้วให้งามกว่าฝรั่งทั่วไป ตัวเล็กกว่า คิ้วเข้ม ตาสวยกว่า (ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่คนอีกน่ะแหล่ะ ไม่ใช่จะสวยกันทั้งตระกูล)

11. ลูกครึ่งมักจะหน้าตาดีเเละฉลาดกว่าคนทั่วไป
- ถูกต้อง ยิ่งยีนต่างพันธุ์กันมากเท่าไหร่หรือผสมกันหลายชาติมากเท่าไหร่จะยิ่งสวยเเละฉลาดมากเท่านั้น เพราะยีนที่ต่างกันจะทำให้เกิด cross breed คือ ยีนเด่นจะออกมามากกว่ายีนด้อย ยีนด้อยจะถูกลบออกไปมากกว่าคนทั่วไป

12. อาจมีบางคนสงสัยว่าทำไมชาวยิวจึงมี IQ สูงมาก ขอตอบว่า ในประวัติอันยาวนานของชาวยิวนั้น มีกระบวนการที่คล้าย ๆ กับการบำรุงพันธ์สัตว์ในปัจจุบัน กล่าวคือ ส่งเสริมคนฉลาดและเหมือนเป็นการผลักไล่ไสส่งคนโง่ทางอ้อมให้ไปอยู่กับฝรั่งที่ชาวยิวเรียกอย่างดูถูกว่าพวกเจนไต (นอกศาสนา นอกรีต) โดยมีศาสนายูดายเป็นตัวจักรสำคัญ เพราะชาวยิวต้องพยายามทำความเข้าใจในคำสอนของศาสนา ผู้ที่แตกฉานสังคมจะให้การเคารพย่อง เมื่อเป็นดังนี้สาว ๆ ชาวยิวจึงนิยมแต่งงานกับคนพวกนี้ ทำให้ลูกหลานรุ่นต่อ ๆ มาของชาวยิวเต็มไปด้วยเด็กฉลาด ศาสนายูดายยังให้ชาวยิวแต่งงานกับชาวยิวด้วยกันเอง ความฉลาดจึงจำกัดอยู่ในชนเชื้อสายยิวเท่านั้น

อย่าให้ "บิ๊กอายส์" ทำลายตา

อยากสวยแบ๊วแบบหนุ่มสาวเกาหลี "บิ๊กอายส์" จึงขายดิบขายดีและมีราคาถูกมากจนน่าใจหายอันตรายคืบคลานเข้าใกล้ตาแต่พวกเรายังชะล่าใจ
ดังที่ว่า "ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ" มัน จึงเป็นสิ่งมีค่าและสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์อวัยวะชิ้นนี้มีกลไกการทำ งานที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อน เป็นระบบประสาทที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับประสาทรับความ รู้สึกอื่นๆ
แต่ตราบใดที่เรายังมองเห็นได้ดี ไม่มีโรคตามมากวดหัวใจ เราจึงมักละเลยที่จะดูแลรักษาให้ตาอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดีให้นานที่สุด แถมยังใช้สายตาไม่ถูกต้องด้วย จึงทำให้ประสิทธิภาพในการมองเห็นลดลงเรื่อยๆ แต่พวกเราไม่รู้ตัว ยิ่งตอนนี้กระแส "ตาแบ๊ว" ไม่ใช่แค่แฟชั่นมาประเดี๋ยวก็ไป แต่มันกำลังจะหยั่งรากฝังลึกในดวงตาทุกคู่
ดร.ดนัย ตันเกิดมงคล หัวหน้าสาขาวิชาทัศนมาตรศาสตร์ สถาบันวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เล่าให้เราฟังว่าในแต่ละปี เยาวชนใส่คอนแทคเลนส์เพิ่มขึ้นจำนวนมากโดยไม่คำนึงเรื่องคุณภาพ และรู้สึกเอาเองว่าใช้ได้เหมือนสินค้าทั่วไป แต่ความจริงแล้วคอนแทคเลนส์เป็นเครื่องมือแพทย์ มันต้องทำให้เราใช้สายตาได้เต็มประสิทธิภาพ ไม่ใช่เพื่อความสวยงามเป็นหลัก
คอนแทคเลนส์สีหรือที่เรียกกันว่า บิ๊กอายส์ นั้นจัดอยู่ในหมวดคอสเมติก ถูกสร้างมาเป็นพิเศษด้วยการใส่เม็ดสีที่สามารถพรางสีม่านตาเดิมให้เป็นสีที่ ต้องการได้ จึงใส่ไม่สบายเท่าคอนแทคเลนส์ชนิดอื่นๆ และเนื่องจากมันไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้งานในชีวิตประจำวัน จึงมีอัตราการซึมผ่านของออกซิเจนน้อยกว่า ฉะนั้นเมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีแสงสว่างน้อย รูม่านตาขยายเกินขอบเขตของช่อง ทำให้การมองเห็นอาจมีประสิทธิภาพด้อยลง
ที่น่าตกใจไปกว่านั้น คือผลกระทบระยะยาวมากกว่า เพราะการใช้คอนแทคเลนส์สีแบบผิดๆ และใช้สินค้าด้อยคุณภาพ อาจทำให้ติดเชื้อและลุกลามเรื้อรังในหนังตาและสุขภาพกระจกตาเสื่อมก่อนวัย
คุณนพพร ภัทรรุจี ผู้อำนวยการฝ่ายการค้าบริษัท ซีบาวิชั่น (ประเทศไทย) จำกัด อธิบายเสริมว่าคนใส่คอนแทคเลนส์ มีไลฟ์สไตล์ ใช้สายตาอย่างหนักหน่วงมากเกินไป พวกเขาใส่มันนานกว่า 8-10 ชั่วโมงและอยู่กับวัสดุที่ไม่สามารถส่งผ่านออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเซลล์กระจก ตาได้เพียงพอ
จึงเป็นที่มาของภาวะ การขาดออกซิเจนของกระจกตา นำมาซึ่งภาวะกระจกตาชราเกินวัย โดยจะมีอาการตาแดงโดยไม่ทราบสาเหตุระคายเคือง มองเห็นภาพมัว หรือแสงรุ้งรอบดวงไฟ มองภาพไม่ชัดเจน เหมือนสายตาสั้น เพิ่มขึ้นเพราะกระจกตาบวม จนไม่สามารถทนใส่คอนแทคเลนส์ได้นาน หรือไม่ได้เลยในที่สุด
ฉะนั้น ก่อนที่หนุ่มสาวๆ ทั้งหลายจะ "แอ๊บแบ๊ว" ดร.ดนัยบอกทางป้องกันไว้ว่า ผู้ใส่ต้องมีกฎเหล็ก เมื่อตัดสินใจใส่คอนเทคเลนส์ควรแวะไปให้จักษุแพทย์หรือนักทัศนมาตรวิเคราะห์ ความเหมาะสม หรือข้อจำกัดเฉพาะตัวก่อน เช่น บางคนกระจกตาบางมาก จึงไม่เหมาะกับคนแทคเลนส์ชนิดใดเลย หรือคนที่สายตาเอียงต้องใช้คอนแทคเลนส์สำหรับสายตาเอียง เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัดขึ้น เป็นต้น
เมื่อไร้ปัญหาใดๆ ก็ควรเลือกเลนส์ที่มีการรับรองทางการแพทย์ ครั้นใส่แล้ว ก่อนนอนก็ต้องถอดออก และทำความสะอาดอย่างเคร่งครัด
"พยายาม หาวัสดุที่สามารถให้ออกซิเจนผ่านตาได้สูง และอย่าใช้คอนแทคเลนส์ผิดประเภท เช่นรายเดือนก็ต้องใช้เพียงเดือนเดียวแล้วทิ้ง หรืออย่าแลกใส่กับเพื่อน และอย่าเปลี่ยนแบรนด์บ่อยหากใช้ยี่ห้อไหนแล้วดีกับตัวเองก็อย่าเผลอใจไปกับ โปรโมชั่นเจ้าอื่น และถ้าตามีปัญหา ก็อย่าทนให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน" ผู้เชี่ยวชาญด้านดวงตากล่าว
เทคนิคยืดดวงตา
- สวมแว่นสายตาให้เหมาะสมกับสายตาหากปล่อยทิ้ง คนสายตาสั้นอาจทำให้เกิดตาเหล่ออก คนสายตายาวจะตาเหล่เข้า
- ใส่แว่นตาเป็นประจำ จะทำให้สายตาคงที่ หรือเปลี่ยนแปลงช้าลง
- ใช้น้ำยาล้างคราบโปรตีนทุกเดือนไม่เปลี่ยนยี่ห้อน้ำยาล้างบ่อยๆ
- พักสายตา 5-10 นาทีหลังใช้คอมพิวเตอร์ทุกๆ 1 ชั่วโมง
- ระยะอ่านหนังสือไม่ควรใกล้กว่า 40 ซม.
- ห่างจากจอทีวีอย่างน้อย 4 เท่าของขนาดจอ
หมั่นตรวจสายตาอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อสุขภาพที่ดีระยะยาว

ไมเกรน (migraine) คืออะไร ?

ไมเกรน (migraine) เป็นโรคปวดศีรษะชนิดหนึ่ง อาการปวดเป็นพักๆ เป็นๆ หายๆมีความรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก ระยะเวลาในการปวดแต่ละครั้งประมาณ 8-12 ชั่วโมง บางรายอาจปวดนานถึง 72 ชั่วโมง อาการปวดไมเกรน จะแย่ลงถ้ามีการเคลื่อนไหว ขณะปวดมักมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่มีอาการนำก่อนปวด เช่น เห็นแสงวูบวาบคล้ายแสงแฟลช ตามองไม่เห็นชั่วครู่ ชาข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย อาการนำมักเป็นอยู่ประมาณ 5–20 นาที โรคนี้พบในเพศหญิงมากกว่าชาย เริ่มอาการครั้งแรกในวัยรุ่นหรือหนุ่มสาว อาการเป็นๆ หายๆ ถี่หรือห่างแล้วแต่บุคคลและปัจจัยสภาพแวดล้อม บางคนอาการจะหายไปเมื่ออายุเลยวัยกลางคนไปแล้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเกิดอาการไมเกรนครั้งแรกในช่วงอายุก่อน 30 ปี แต่ผู้ป่วยบางส่วนอาจจะมีอาการครั้งแรกในช่วงอายุ 40-50 ปี ผลกระทบที่สำคัญที่เห็นได้ชัดคือ เสียสุขภาพกาย ต้องทรมานจากความปวด บางรายปวดรุนแรงมากจนแทบอยากจะวิ่งเอาหัวชนฝาผนัง บางรายก็ปวดข้ามวันข้ามคืนจนนอนหลับไม่สนิท บ้างก็คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลียจนเสียสมรรถภาพการเรียนการทำงาน ไมเกรนเป็นโรคหนึ่งที่ทำให้ผู้ที่ทำงานประเภทใช้ความคิดต้องขาดงานเป็นจำนวนมาก ทำให้สูญเสียทางเศรษฐกิจไม่น้อย ถ้าเป็นบ่อยมากเป็นรุนแรงมากๆ ก็ทำให้เสียสุขภาพจิตได้ สาเหตุ สาเหตุและกลไกการเกิดโรคยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด ระยะหลังมานี้มีคณะวิจัยทางด้านจีโนมิกส์ พบว่า ion-transport gene อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคไมเกรน พบว่าระบบประสาทของผู้ที่เป็นไมเกรนไวต่อการเปลี่ยนแปลงในร่างกายและสิ่งแวดล้อมมากกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นไมเกรน เมื่อระบบประสาทมีการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิดการอักเสบของเส้นเลือด และเส้นประสาทรอบๆ สมอง บางทฤษฎีอธิบายจากความผิดปกติที่ระดับสารเคมีในสมอง การสื่อกระแสในสมอง หรือการทำงานที่ผิดปกติไปของหลอดเลือดสมองก็ได้ หลักฐานข้อมูลทางระบาดวิทยา เชื่อว่าไมเกรนถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ แต่จะเกิดอาการหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งภายในและภายนอกร่างกายที่มากระทบ ไมเกรนเป็นความผิดปรกติในกลุ่มโรคที่มีปัจจัยทางพันธุกรรมร่วมด้วย โดยมีอาการทางระบบประสาทก่อนมีอาการปวดศีรษะไมเกรน เดิมเชื่อว่าเกิดจากหลอดเลือดในสมองมีการหดตัวเกิดขึ้น หลังจากนั้นร่างกายมีการตอบสนองโดยการทำให้หลอดเลือดมีการขยายตัว ซึ่งการขยายตัวของหลอดเลือดนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้น ปัจจัยกระตุ้น อาหาร การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารที่ใส่ผงชูรส ใส่สารถนอมอาหาร อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ สารบางชนิดกระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น คาเฟอีน ช๊อคโกแล็ต ผงชูรส สารไนเตรท สารไทรามีน การนอนหลับ การนอนหลับมากหรือน้อยเกินไปสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการปวดได้ จากการทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่าฮอร์โมนเมลาโทนินเกี่ยวข้องกับการขยายและหดตัวของหลอดเลือดในสมอง ฮอร์โมน ผู้หญิงจำนวนมากที่เป็นไมเกรนมักจะมีอาการปวดในช่วงที่มีประจำเดือน และความรุนแรงและระยะเวลาในการปวดมักจะมากกว่าหรือการปวดในช่วงอื่น การตั้งครรภ์ในช่วงเดือนแรกๆ มักจะทำให้อาการปวดไมเกรนแย่ลง สิ่งแวดล้อม อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง เช่น อากาศร้อน ตากแดด กลิ่นบางอย่าง เช่น น้ำหอม ควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ การอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ความหิว มีการศึกษาวิจัยพบว่าความหิวเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดไมเกรนเท่าๆ กับความวิตกกังวล ความโกรธ และภาวะซึมเศร้า ความเครียด ผู้ที่มีความเครียดและไม่สามารถจัดการกับความเครียดในการดำเนินชีวิตประจำวันได้ จะมีโอกาสเกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนได้บ่อยและรุนแรงกว่าผู้ที่ไม่เครียด อาการ อาการปวดศีรษะในโรคไมเกรนมีลักษณะสำคัญ คือ มักมีอาการปวดข้างเดียว เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มีอาการปวดตื้อๆ อาการปวดมักเป็นมาก ปานกลาง ถึงรุนแรง และมักเป็นมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว ระยะเวลาของอาการปวดเกิดขึ้นได้แตกต่างกันได้มาก อาจพบอาการเบื่ออาหารได้ค่อนข้างบ่อย ส่วนอาการคลื่นไส้พบได้ประมาณร้อยละ 90 ในขณะที่อาการอาเจียนพบในผู้ป่วยประมาณ 1 ใน 3 ภาวะที่ผู้ป่วยไวต่อสิ่งเร้าได้ง่ายขึ้นก็พบได้เช่นกัน ดังนั้น ผู้ป่วยไมเกรนส่วนใหญ่มักอยากอยู่ในห้องมีดและเงียบเพราะจะทำให้อาการปวดศีรษะดีขึ้น การวินิจฉัย การวินิจฉัยไมเกรนอาศัยประวัติและการตรวจร่างกายเป็นสำคัญ ลักษณะอาการปวด ตำแหน่ง ความรุนแรง ความถี่ ระยะเวลาที่ปวด บางรายอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ไข้ อาการชัก แขนขาอ่อนแรงข้างใดข้างหนึ่ง ประวัติโรคประจำตัวและประวัติการใช้ยา การตรวจเลือด หรือการตรวจทางเอ็กซเรย์ช่วยวินิจฉัยแยกโรคในบางกรณี การที่จะทราบว่าอาการปวดหัวเกิดจากสาเหตุใดนั้น ต้องอาศัยลักษณะต่างๆ ของอาการปวด อาการที่เกิดร่วมด้วย ความผิดปกติของการทำงานของสมอง หรืออวัยวะต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดอาการปวด ลักษณะต่างๆ ของอาการปวด ได้แก่ ตำแหน่งที่ปวด ความรุนแรง ลักษณะการปวด ลักษณะการดำเนินของอาการปวด มีส่วนช่วยในการวินิจฉัยโรคทั้งสิ้น นอกจากนี้ อาการที่เกิดร่วมด้วย เช่น ไข้ ตาแดง ตาโปน น้ำมูกมีกลิ่นเหม็น คลื่นไส้ เวียนหัว ก็มีความสำคัญเช่นกัน ความผิดปกติของการทำงานของสมอง หรืออวัยวะต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดอาการปวด เช่น ความคิดอ่านเชื่องช้า มองเห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนแรง เดินเซ ส่วนปัจจัยกระตุ้นอาการปวด ได้แก่ ความเครียด แสงจ้าๆ อาหารบางชนิด บางรายอาจพบว่ามีปัจจัยทุเลาอาการปวด เช่น การนอนหลับ การนวดหนังศีรษะ และยา การรักษา วิธีการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคไมเกรนที่สำคัญ ได้แก่ การบรรเทาอาการปวดศีรษะ และการป้องกันไม่ให้เกิดหรือลดความถี่ ความรุนแรงของอาการปวดศีรษะ การบรรเทาอาการปวดศีรษะอาจไม่จำเป็นต้องใช้ยา เช่น การนวด การกดจุด การประคบเย็น การประคบร้อน หรือการนอนหลับ ในรายที่ไม่ได้ผลหรืออาการปวดรุนแรงก็จำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวด ปัจจุบันมียาแก้ปวดที่ได้ผลดีหลายชนิด ยาแต่ละชนิดก็มีผลข้างเคียงต่างๆ กันไป ประกอบกับผู้ป่วยแต่ละรายก็ตอบสนองต่อยามาไม่เหมือนกัน จึงต้องเลือกให้เหมาะสมในแต่ละรายไป สำหรับยาที่ระงับอาการไมเกรนปัจจุบันนิยมใช้ยาในกลุ่ม ergot alkaloids และ triptans การป้องกันไม่ให้เกิด หรือลดความถี่ ความรุนแรงของอาการปวดศีรษะนั้น ที่สำคัญมีอยู่ 2 วิธี วิธีแรกก็คือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอร่วมกับการกำจัดความเครียดอย่างเหมาะสม วิธีที่สองคือ การรับประทานยาป้องกันไมเกรน แพทย์จะแนะนำให้รับประทานยาป้องกันก็ต่อเมื่อปวดศีรษะบ่อยมาก เช่น สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งขึ้นไป หรือแม้จะปวดไม่บ่อยแต่รุนแรงมากหรือนานต่อเนื่องกันหลายวัน ยาป้องกันไมเกรนนั้นมีอยู่หลายชนิด จะต้องเลือกชนิดและปรับขนาดยาให้เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายไป แนะนำให้รับประทานยาป้องกันต่อเนื่องจนอาการสงบลงนาน 6-12 เดือน จึงลองหยุดยาได้ เมื่อกำเริบขึ้นอีกจึงเริ่มรับประทานใหม่ ยาต้านเบต้า เช่น propanolol, nadol, atenodol, metoprolol และ timolol ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันไมเกรนได้ แต่ยากลุ่มนี้ทำให้เกิดอาการข้างเคียงทางพฤติกรรมได้ เช่น ง่วงซึม อ่อนล้าง่าย การนอนหลับผิดปกติ ฝันร้าย ภาวะซึมเศร้า ความจำเลวลง และประสาทหลอน ยาในกลุ่มนี้จะต้องหลีกเลี่ยงในผู้ป่วยไมเกรนที่มีภาวะซึมเศร้าร่วมด้วย ยารักษาโรคซึมเศร้ากลุ่ม tricyclic antidepressant เช่น amitriptyline เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการไมเกรน อารข้างเคียงของยานี้คือ รับประทานอาหารเพิ่มขึ้น ปากแห้ง และง่วงซึม ยากันชักบางชนิด ปัจจุบันมีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นว่ายากันชักสามารถนำมาใช้ป้องกันไมเกรนได้ผลดี เช่น sodium valproate, toprimate

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ไข่กุ้ง (tobiko) คืออะไร

-ไข่กุ้ง หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า โทบิโกะ (tobiko) คือ ไข่ของปลา flying fish พบตามชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น ลำตัวมีความยาว 35 ซ.ม. จับได้ในช่วงเวลาวางไข่ต้นฤดูร้อน
-ไข่ของปลา flying fish มีขนาดเล็กประมาณ 0.5-0.8 มม ตามปกติจะมีสีส้มแดง รสออกเค็มอ่อนๆ บางครั้งนำไปย้อมเป็นสีอื่น เช่น ย้อมวาซาบิได้ไข่สีเขียว ย้อมขิงได้ไข่สีส้ม หรือย้อมกับหมึกของปลาหมึกจะได้สีดำ ไข่กุ้งนิยมนำมาทำแคลิฟอร์เนียโรล ซูชิ และคานาเป้ เป็นต้น

-วิธีเก็บรักษา คือ นำใส่ถุงมัดปากถุงให้สนิท แล้วเก็บใส่กล่องพลาสติกปิดฝาให้สนิทนำเข้าแช่ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียส จะสามารถเก็บได้นานหลายวัน

5 วิธีเลือกที่นั่งต้านกระดูกเสื่อม

เมื่อมีอายุมากขึ้นทุกคนอาจเป็นโรคกระดูกเสื่อมได้ตามธรรมชาติ แต่สำหรับผู้ที่ต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน หรือนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน โรคนี้อาจมาเยือนได้เร็วกว่าบุคคลอื่น ซึ่งวิธีการป้องกันหรือชะลอภาวะกระดูกเสื่อม แบบง่ายๆ นั้น ทำได้โดยการเลือกที่นั่งให้เหมาะสม 5 วิธี ดังนี้
1. ความสูงของเก้าอี้ ต้องเท่ากับช่วงยาวของขาท่อนล่าง (น่อง) ตั้งแต่ข้อพับหลังหัวเข่าลงไปถึงเท้า เพื่อจะได้วางเท้าราบพื้นพอดี
2. รูปร่างของเบาะนั่ง ต้องไม่บุ๋มเป็นแอ่ง มิเช่นนั้นจะทำให้กระดูเชิงกราน (ซึ่งเป็นฐานของกระดูกสันหลังทั้งหมด) บิดงอ
3. เบาะไม่ควรอยู่ลึกเกินไป และพนักพิงไม่ควรอยู่ไกลเกินไป หากพิงไม่ถึงและต้องเอนตัวไปด้านหลัง จะทำให้หลังงอ
4. ควรมีพนักพิง เพื่อช่วยดันหลังให้อยู่ในท่าตรงตามธรรมชาติ
5. ที่เท้าแขนอยู่ในระดับที่งอข้อศอกแล้ววางแขนได้พอดี เพราะนอกจากใช้พักแขนและข้อศอกแล้วยังใช้สำหรับดันเพื่อยืดตัวให้ตรงขึ้นได้ เล็กน้อยเพียงเท่านี้คงไม่ยากเกินไปที่จะใส่ใจกับสิ่งของที่เราต้องใช้บ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

หาเวลาดูแลผิวหน้าด้วยการ “มาสก์”

สำหรับสาวๆ บางคนการหาเวลาว่างเพื่อการพักผ่อนและการดูแลเรื่องกระจุ๊กกระจิ๊กแบบผู้หญิงๆ ย่อมเป็นสิ่งที่สาวๆ ต้องหาและใฝ่ฝันถึงวันที่พวกเธอจะได้อยู่บ้านแบบสบายๆ ไปพร้อมกับการทำกิจกรรมสนุกๆ เพื่อฟื่นฟูสภาพผิวพรรณและสุขภาพของตัวเอง
การมาสก์หน้า ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สาวๆ หลายคนพยายามหาเวลาว่างเพื่อทำกิจกรรมนี้ เนื่องจากในบ้างครั้งการล้างหน้าด้วยครีมและเช็ดผิวด้วยโลชั่นเป็นประจำทุกวันนั้น ยังไม่เพียงพอ ผิวควรได้รับการดูแลทำความสะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่เข้มข้นกว่าปกติ เช่น มาสก์สำหรับผู้ที่มีผิวมัน จะช่วยทำความสะอาดผิวและดูดซับความมัน ปรับความสมดุลของผิว ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
ด้วยเหตุผลนี้ การมาสก์หน้าจึงกลายเป็นคำตอบของสาวๆ หลายๆ เมื่อเธอมีเวลาว่างพอที่จะหันมาดูแลใส่ใจความสวยความงามของตัวเอง … หลายคนอาจจะคิดว่าการมาสก์หน้าเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่แบบนั้นเลย การมาสก์หน้านั่นมีขั้นตอนที่ง่ายๆ มากๆ เลยทีเดียว
แค่เริ่มต้นจาก … ทำความสะอาดผิวให้สะอาด การมาสก์หน้าไปบนใบหน้าสกปรกก็เหมือนกับการลงยาขัดเงาไปบนพื้นผิวที่สกปรกนั่นเอง แต่ก่อนที่จะใช้มาสก์แต่ละยี่ห้อ อ่านขั้นตอนการใช้อย่างละเอียด โดยเฉพาะวิธีการ ระยะที่ใช้มาสก์หน้า และวิธีการชำระออก แต่ละยี่ห้ออาจมีวิธีแตกต่างกัน
หลังจากอ่านวิธีใช้แล้ว ก็ให้เริ่มทามาสก์จำนวนพอควรไปบนใบหน้า อย่าขี้เหนียวเกินไปล่ะไหนก็มีเวลาว่างทั้งทีแล้วก็ทำให้มันสุดๆ ไปเลย ในการทามาสก์นั้นควรหลีกเลี่ยงบริเวณรอบดวงตาและริมฝีปาก เพราะผิวบริเวณนี้บอบบางที่สุด
หลังจากทา ล้างมาสก์ออกแล้ว เซลล์เก่าจะถูกขจัดออกไป จึงควรทาครีมบำรุงทันที เพราะผิวจะซึมซับมอยส์เจอไรเซอร์ได้อย่างรวดเร็ว … เห็นรึเปล่าล่ะแค่นี้ก็เป็นอันจบขั้นตอนแล้ว
ไม่ต้องใช้เวลาในการดูแลตัวเองมากมาย แค่รู้จักแบ่งเวลาว่างมาใส่ใจเรื่องความสวยความงามบ้าง แค่นี้สาวๆ ก็จะสามารถเพิ่มเสน่ห์แบบผู้หญิงๆ ได้แล้วล่ะ

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

การทำข้าวหน้าไก่ย่าง

ส่วนผสม
ข้าวสวยญี่ปุ่น 1 ถ้วย เนื้อไก่ 1 ชิ้น ไข่ไก่ 1 ฟอง มิริน น้ำตาลทราย ซีอิ๊วญี่ปุ่น(โชยุ)
วิธีทำ
ทำน้ำซีอิ๊วไก่ย่าง โดยเคี่ยวมิริน น้ำตาลทราย และโชยุเข้าด้วยกัน
นำเนื้อไก่มาแล่ให้บางเป็นชิ้นเดียวกัน แล้วคลุกแป้งสาลีนิดเล็กน้อย
นำไก่ไปทอดให้ผิวสุกลือง เข้าเตาปิ้งประมาณ 3 นาที โดยทาน้ำซีอิ๊วไก่ทั่วเนื้อไก่อยู่เป็นระยะ
พอสุกดีแล้ว นำออกมาทาน้ำซีอิ๊วไก่ให้ทั่วอีกที แล้วหั่นให้ขาดเป็นชิ้น ตักวางลงในจานจัดวางไว้ครึ่งหนึ่ง
ตั้งกระทะ ตอกไข่ใส่ภาชนะตีให้ขึ้นฟู แล้วทอดเป็นไข่เจียวจนสุก ตักวางไว้อีกครึ่งบนจาน ข้างๆ ไก่ซีอิ๊ว
ราดด้วยน้ำซีอิ๊วไก่ย่างอีกเล็กน้อย เสิร์ฟทานพร้อมซุปมิโซะและผักดอง

เคล็ดลับความงาม น้ำมะนาว รักษาสิว

วิธีทำ
ล้างหน้าให้สะอาด
บีบน้ำมะนาว 1 ช้อนชาในถ้วยเล็ก ใช้สำลีจุ่มน้ำมะนาวพอเปียก อาจผสมน้ำหากรู้สึกว่าแสบเกินไป
ป้ายน้ำมะนาวลงบนสิว สิวหัวขาว สิวหัวดำ สิวหัวหนอง
ทิ้งไว้ทั้งคืนโดยไม่ต้องล้างออก ล้างออกตอนเช้า และทาอีกครั้งก่อนเมคอัพ (หากคุณต้องใช้เมคอัพ)
หากรู้สึกว่าน้ำมะนาวนั้นแรงเกินไป แม้ว่าจะผสมน้ำให้เจือจางแล้วก็ตาม ให้ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
วิธีการนี้ใช้เวลา 2 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำจึงจะเห็นผล

เคล็ดลับความงาม น้ำมะนาว รักษาสิว

ทำไมจึงปวดท้องเวลามีประจำเดือน

การมีประจำเดือนเป็นธรรมชาติของสตรีเมื่อเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ จากการศึกษาของศิริราช เมื่อ 4 - 5 ปีที่ผ่าน
มา พบว่าอายุเฉลี่ยของการมีประจำเดือนครั้งแรกของเด็กผู้หญิงไทยประมาณ 12 ปี7 เดือน เด็กผู้หญิงทางภาคเหนือ
มีอายุเฉลี่ยของการมีประจำเดือนเร็วกว่าภาคอื่น ๆ ส่วนเด็กภาคใต้มีอายุเฉลี่ยของการมีประจำเดือนช้ากว่าภาคอื่น ๆ
เมื่อเริ่มมีประจำเดือนผู้หญิงส่วนใหญ่จะมีอาการปวดท้องขณะมีประจำเดือน บางคนจึงคิดว่าอาการปวด
ประจำเดือนนั้นเป็นสิ่งธรรมดาที่เกิดขึ้นระหว่างการมีประจำเดือน ถ้าคิดแบบนี้ก็คงจะใช้ได้กับคนที่มีอาการปวด
ประจำเดือนไม่มาก คือ ปวดพอรู้สึกรำคาญ ไม่ต้องรับประทานยาอาการก็หายไปเอง อาการปวดประจำเดือนนี้ส่วน
ใหญ่จะเริ่มตั้งแต่วันที่1-2 ของการมีประจำเดือน และจะหายไปภายใน 1-2 วัน แต่มีผู้หญิงบางรายที่มีอาการปวดท้อง
มากขณะมีประจำเดือนทุกครั้ง จะต้องรับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล 2 เม็ด อาการจึงทุเลา ซึ่งลักษณะ
การปวดประจำเดือนทั้ง 2 อย่างที่กล่าวมาแล้วถือว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดได้ในผู้หญิง เป็นอาการปวดประจำเดือนที่ไม่รู้
สาเหตุ แต่ส่วนใหญ่เมื่อแต่งงานแล้วอาการจะหายไป
พวงชมพูเป็นผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ด้วยอาการปวดท้องมากเวลามีประจำเดือน อาการปวดท้องนี้เริ่มเป็นตั้งแต่
อายุ20 ปี ตอนแรก ๆ ก็ปวดพอทนไหวแต่ต่อมามีอาการปวดมากขึ้นต้องรับประทานพาราเซตามอล 2 เม็ด ในวันแรก
ของประจำเดือนอาการจึงจะดีขึ้น และต่อมาต้องเพิ่มการรับประทานยาพาราเซตามอลเป็นครั้งละ 2 เม็ด วันละ 2 ครั้ง
ในวันที่1-2 ของการมีประจำเดือน ใน 1 ปีที่ผ่านมาเริ่มรู้สึกยาแก้ปวดไม่สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้เธอจึงต้อง
ไปพบแพทย์ที่คลินิกทุกครั้งที่มีประจำเดือน เมื่อแพทย์ฉีดยาแก้ปวดให้อาการปวดจึงดีขึ้นบ้าง ขณะนี้อายุได้30 ปีเธอ
มีความกังวลใจมากเพราะระยะ 2-3 เดือนที่ผ่านมา เธอปวดท้องมากจนต้องหยุดงานทุกครั้งที่มีประจำเดือน บางทีมี
อาการหน้ามืดคล้ายจะเป็นลมด้วย ต้องรับประทานยาแก้ปวดที่แพทย์ให้มาแล้วนอนพักผ่อนหลังจากตื่นขึ้นมาอาการ
จึงจะทุเลา
เมื่อเธอมาปรึกษาแพทย์ ๆ แนะนำให้ตรวจภายใน เพราะอาการไม่ใช่การปวดท้องธรรมดา น่าจะมีสาเหตุซึ่ง
แพทย์พบเสมอคือเยื่อบุมดลูกอยู่ผิดที่ เช่น เยื่อบุมดลูกไปอยู่ที่ในอุ้งเชิงกราน รังไข่ หรือแทรกเข้าไปในเนื้อมดลูก เป็น
ต้น จากการตรวจภายในพบว่ามีก้อนที่บริเวณรังไข่ ลักษณะเป็นถุงน้ำขนาดประมาณ 10 เซนติเมตร แพทย์จึงแนะนำ
ให้ทำผ่าตัด เธอกลัวมากกว่าจะต้องถูกตัดมดลูกทิ้ง แพทย์จึงอธิบายให้ฟังอยู่นานจนเข้าใจว่าก่อนอื่นแพทย์จะต้อง
พยายามทำผ่าตัดโดยเก็บมดลูกและรังไข่ไว้เพื่อให้มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ในอนาคต การมีเยื่อบุมดลูกผิดที่เป็นสาเหตุหนึ่ง
ซึ่งทำให้มีบุตรยาก แต่ถ้าตั้งครรภ์ได้เยื่อบุมดลูกที่อยู่ผิดที่นี้จะสลายตัวไป ในระหว่างการตั้งครรภ์ดังนั้นหลังจากมีบุตร
แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น
การมีเยื่อบุมดลูกอยู่ผิดที่นั้น หญิงบางรายเป็นมากแต่ไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ เลย ส่วนบางรายเป็นไม่มาก
กลับมีอาการปวดท้องมาก ในรายที่เป็นไม่มากแพทย์อาจจะรักษาด้วยการให้ยา เช่น ยาพ่นจมูก ยารับประทานหรือยา
ฉีด แต่การใช้ยาเหล่านี้มักมีปัญหาคือยาค่อนข้างแพทย์และผลการรักษาไม่แน่นอน บางรายอาจกลับมาเป็นอีก
หลังจากหยุดยา
คุณพวงคราม ซึ่งเป็นคุณแม่ของคุณพวงชมพู สงสัยเกี่ยวกับ อาการเจ็บป่วยของบุตรสาว อยากทราบว่าเกิด
เยื่อบุมดลูกอยู่ผิดที่มีสาเหตุมาจากอะไร เพื่อจะได้ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก ปัญหานี้คงตอบได้ยากเพราะยังไม่รู้สาเหตุที่
แท้จริง แต่เหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้มี2 ประการ คือ
1. เป็นมาแต่กำเนิด จากสาเหตุใดไม่ทราบทำให้มีเนื้อเยื่อคล้ายเยื่อบุมดลูกไปอยู่ในรังไข่ ๆ จึงโตเป็นถุงน้ำที่
เรียกว่า ช็อคโกแลตซีส ซึ่งโดยทั่วไปแล้วถ้าแพทย์ตรวจพบซีสที่รังไข่โตเกิน 6 เซนติเมตร จะแนะนำให้ทำผ่าตัด
2. เกิดจากการไหลย้อนกลับของเลือดประจำเดือนเข้าในช่องท้อง โดยไหลผ่านท่อนำไข่เข้าไป ซึ่งพิสูจน์ได้
โดยมักพบโรคนี้ในสตรีที่เคยมีบุตรแล้ว เพราะในเลือดประจำเดือนจะมีส่วนของเยื่อบุมดลูกลอกหลุดออกมาปนอยู่
ด้วย ดังนั้นเมื่อเลือดไหลเข้าในช่องท้องจึงมีส่วนของเยื่อบุมดลูกหลุดเข้าไปฝังตัวได้

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สรรพคุณของมะกรูด

Leech Lime, Kaffir LimeCitrus hystrix D.C. วงศ์ Rutaceae
ชื่อท้องถิ่น มะขูด มะขุน ส้มกรูด ส้มมั่วผี
ลักษณะ มะกรูดเป็นพืชที่ใช้เป็นเครื่องเทศมานานแล้ว โดยใช้ผิวของผลเป็นส่วนผสมในเครื่องแกงหลายชนิด ใช้เข้าเครื่องหอมโดยเป็นส่วนผสมในเทียนอบ ใบมะกรูดมีกลิ่นหอมใช้แต่งกลิ่นในอาหารคาวหลายชนิดเช่น ต้มยำ แกงเผ็ด น้ำมะกรูดใช้ปรุงอาหารเพื่อให้มีรสเปรี้ยวและดับกลิ่นคาวปลาคนโบราณนิยมสระผมด้วยน้ำมะกรูด เพราะช่วยให้ผมดำเป็นมันไม่แห้งกรอบ คนไทยนิยมปลูกมะกรูดไว้ตามบ้านและในสวน มะกรูดเป็นไม้พุ่มยืนต้นขนาดเล็ก ใบมีกลิ่นหอม ผลค่อนข้างกลม ผิวขรุขระมีปุ่มนูนและมีจุกที่หัวของผล ส่วนที่ใช้ คือ ใบและผล
สารสำคัญ ในใบและผลมะกรูด เมื่อนำมากลั่นด้วยไอน้ำจะให้น้ำมันหอมระเหยในปริมาณ 0.08 % และ4 % ตามลำดับ น้ำมันหอมระเหยจากผิวมะกรูดมักประกอบด้วยเบต้า-ไพนีน, ไลโมนีนและซาบินีน เป็นสารหลักส่วนน้ำมันหอมระเหยจากใบจะประกอบด้วย ซีโทรเนลลาล, ไอโซพูลิโกลและไลนาลูออล เป็นสารหลัก ส่วนในน้ำมะกรูดมีกรดซิตริก ไวตามินซีและกรดอินทรีย์ชนิดอื่น ๆ เป็นส่วนประกอบ

วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ

วิทยาศาสตร์ได้เริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2525 โดย มติของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2525 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอันเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" เพราะทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411 ได้อย่างแม่นยำ
วันที่ 18 สิงหาคม ของทุกปี ได้มีการจัดงานวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นทั่วประเทศ โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525 เป็นต้นมา โดยมีกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการพลังงาน เป็นหน่วยงานหลักในการจัดร่วมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งภาครัฐและเอกชน ต่อมาในปี พ.ศ. 2527 งานวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติได้รับการขยายให้เป็นงานใหญ่ขึ้น เป็นงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ โดยจะมีการจัดงานในระหว่างวันที่ 18-24 สิงหาคม
พระราชกรณียกิจทางด้านดาราศาสตร์ของรัชกาลที่ 8
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดฯ ให้สร้างหอดูดาวบนเขาวัง ในจังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๐๓ พระราชทานนามว่า "หอชัชวาลเวียงชัย" ซึ่งตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ ได้เคยทอดพระเนตรดาวหาง 3 ดวงคือ
ดาวหางฟลูเกอร์กูส (Flaugergues s Comet) เป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่และมีหาง 2 หาง ปรากฏในรัชสมัย พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อ พ.ศ. 2355 ขณะนั้นเจ้าฟ้ามงกฏมีพระชันษาราว 8 ปี เมื่อทรงเห็นแล้ว คงจะทรงติดตามศึกษาเรื่องดาวหางอยู่เสมอ เพราะว่าก่อนดวงที่ 2 จะมาปรากฏ พระองค์สามารถทรงนิพนธ์ประกาศฉบับแรกชื่อว่า " ประกาศดาวหางขึ้นอย่าได้วิตก" แจ้งแก่ประชาชน"
ดาวหางโดนาติ ( Donati a Comet) เป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่มาก นักดาราศาสตร์อิตาเลียนค้นพบในคืนวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ 2401 และคืนต่อๆมา จนถึงวันที่ 4มีนาคม พ.ศ. 2402 (รวมเวลา ๙ เดือน) ชาวไทยคงจะเห็นด้วยตาเปล่า ระหว่างเดือนกันยายน-ตุลาคม พ.ศ. 2401 ดาวหางดังกล่าวมีลักษณะเป็น 2 หาง หางหนึ่งเหยียดตรง อีกหางหนึ่งเป็นพู่โค้งสวยงามอยู่ราว 2 เดือน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเกรงว่า เมื่อประชาชนเห็นดาวหางโดนาติ แล้วจะตื่นเต้นไปตามคำลือต่างๆ จึงทรงออกประกาศเตือนชื่อว่า "ประกาศดาวหางขึ้นอย่าได้วิตก" นับเป็นประกาศทางวิทยาศาสตร์ฉบับแรกของประเทศ มีความว่า "ดาวหางนี้ชาวยุโรปได้เห็นมาแล้วหลายเดือน ดาวหางนี้มีคติแลทางยาวไปในท้องฟ้า แล้วก็กลับมาได้เห็นในประเทศทั้งนี้อีก เพราะเหตุนี้อย่าให้ราษฎรทั้งปวงตื่นกัน และคิดวิตกเล่าลือไปต่างๆ ด้วยว่ามิใช่จะเห็นแต่ในพระนครนี้ และเมืองที่ใกล้เคียงเท่านั้นหามิ ได้ย่อมได้เห็นทุกบ้านทุกเมืองทั่วพิภพอย่างนี้แล"
ดาวหางเทพบุท (Tebbut s Comet ) เป็นดาวหางที่มีขนาดใหญ่ หางยาว และสว่างกว่าดาวหางโดนาติ ปรากฏแก่สายตาชาวโลก ระหว่างเดือนมิถุนายน - กรกฎาคม พ.ศ. 2404 เป็นดาวที่พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยมากยิ่งขึ้น ถึงกับทรงได้คำนวณไว้ล่วงหน้าว่า จะปรากฏเมื่อใด และได้ทรงออกประกาศไว้ล่วงหน้า มิให้ประชาชนตื่นตระหนก ทั้งนี้เพราะพระองค์ มีพระราชประสงค์มุ่งขจัดความเชื่อ เกี่ยวกับเรื่องโชคลาง และทรงให้ราษฎรตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เตรียมพร้อมที่จะเผชิญเหตุการณ์ (ถ้าจะเกิด) อย่างมีเหตุผลตามแบบวิทยาศาสตร์
วัตถุประสงค์ของการจัดงานวันสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและพระปรีชาสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันเป็น"พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย"
เพื่อเป็นการส่งเสริมและเผยแพร่ผลงานการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ
เพื่อสนับสนุนให้กำลังใจและโอกาสแก่นักวิจัย นักประดิษฐ์ ได้แสดงผลงานต่อสาธารณชน
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่าภาครัฐและเอกชนในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในการพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศทางวิทยาศาสตร์ อันเป็นวิถีทางหนึ่งของการแก้ปัญหาการขาดแคลนกำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ในงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ได้มีการจัดกิจกรรมทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมากมาย เช่น นิทรรศการ ผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การอภิปรายทางวิชาการ การตอบปัญหาทางวิทยาศาสตร์ การประกวดการแข่งขันต่าง ๆ เช่น โครงการทางวิทยาศาสตร์และสื่อการสอนวิทยาศาสตร์ เป็นต้น
ในการจัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ ได้มีการมอบรางวัลให้แก่ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นนักวิทยาศาสตร์ดีเด่นในสาขาวิชาต่าง ๆ โดยจะทำพิธีมอบรางวัลเชิดชูเกียรติในวันที่ 18 สิงหาคม ของทุกปี
การจัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ นับได้ว่ามีส่วนที่จะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนคนไทย ได้ตระหนักถึงความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น

พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย

บนเนื้อที่ 12 ไร่ ของพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย จังหวัดนครปฐม คือสถานที่จัดแสดง หุ่นขี้ผึ้งไฟเบอร์กลาสที่งดงาม สะท้อนความรู้สึกถึงสีหน้า ท่าทาง และอารมณ์เหมือนจริง โดยกลุ่มศิลปินไทย เกิดแรงบันดาลใจในการสร้างหุ่น ตามแบบของมาดามทรูโซ่ ประเทศอังกฤษ เพื่อส่งเสริม เผยแพร่ และอนุรักษ์ไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรม และประเพณีของไทย
นายดวงแก้ว พิทยากรศิลป์ ผู้ปั้นหุ่น ได้ค้นพบการนำไฟเบอร์กลาส มารังสรรค์เป็นรูปหุ่นขี้ผึ้ง แทนการใช้ขี้ผึ้ง เนื่องจากเมืองไทยมีสภาพอาอากศร้อน ขี้ผึ้งละลายได้ง่าย หากใช้ไฟเบอร์กลาส มีความเหมาะสม คงทน และให้ความรุ้สึกนุ่มนวลสวยงามมากกว่า โดยปั้นหุ่นไฟเบอร์กลาสรูปแรก คือ พระราชสังวราภิมณฑ์ หรือ หลวงปู่โต๊ะ หลังจากนั้นได้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทยขึ้น และได้สร้างหุ่นอีกหลายชุด เปิดให้เข้าชมเมื่อ พ.ศ. 2533
ภายในอาคารพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ทั้ง2 ชั้นจัดแสดงหุ่นขี้ผึ้งไฟเบอร์กลาสเป็นหลายหมวดหมู่ ได้แก่ หุ่นสนใจในข่าว หุ่นชุดพระอิรยสงฆ์ ซึ่งเป็นรูปเหมือนของพระสงฆ์ชื่อดัง ทั่วประเทศไทย เช่น หลวงพ่อเกษม เขมโก แห่งสุสานไตรลักษ์ จังหวัดลำปาง พระครูภาวนารังสี พระโพธิญาณเถระหรือหลวงปู่ชา สุภทฺโท พระครูบาชัยยะวงศาพัฒนา พระธรรมญาณมุนี หลวงจีนคณาณัติจีนพรต สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พฺรหฺมรํสี หลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่ทวด หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งล้านนา เป็นต้น
ถัดมา หุ่นชุดเหนื่อยนักพักก่อน เป็นหุ่นชายอ้วนผอม ที่หยุดนั่งพักจนหลับไป ตรงกันข้ามคือ หุ่นชุดหมากรุกไทย ชายสองคนกำลังเดินหมากรุก ชิงไหวชิงพริบกันอย่างสนุก ขณะที่อีกคนยืนจับตาดูอยู่ข้างๆ ห้องสุดท้ายคือ ท้องพระโรงโอ่โถง กลางห้องมีพระบรมรูปอดีตพระมหากษัตริย์ แห่งราชวงศ์จักรี ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 – 8 และหุ่นรูปสมเด็จย่า ฝาผนังเขียนเกี่ยวกับพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่าน
จากนั้นขึ้นไปชั้น 2 จัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย การละเล่น บุคคลสำคัญ และวรรณคดีไทย เริ่มต้นจากหุ่น 3 ครูเพลงไทย ได้แก่ ครูจวงจันทน์ จันทร์คณา หรือบรมครูพรานบูรพ์ ครูเอื้อ สุนทรสนาน หรือสุนทราภรณ์ และครูไพบูลย์ บุตรขัน หรือราชานักแต่งเพลงลูกทุ่ง ใกล้กันคือหุ่น 3 บุคคลสำคัญของโลก ได้แก่ มหาตมา คานธี บิดาแห่งประชาชาติอินเดีย ติดกันคือ เซอร์ วินสตัน เชอร์ชิล วีรบุรุษของชาวอังกฤษ ตรงกันข้ามคือ อับราฮีม ลินคอร์น ผู้ปลดปล่อยทาสของสหรัฐอเมริกา
ห้องถัดไป คือ หุ่นชุดการละเล่นของเด็กไทย เข่น แมงมุม จ้ำจี้ รีรีข้าวสาร ขี่ม้าส่งเมือง และหัวล้านชนกัน หุ่นชุดวรรณคดีไทย เรื่องพระอภัยมณี ประกอบด้วย นางเงือก ผีเสื้อสมุทร สุดสาคร ม้านิลมังกร ชีปะขาว พระอภัยมณี และสุนทรภู่ ออกจากตรงนี้ไปห้อง หุ่นชุดประวัติศาสตร์ไทย ทั้งการเลิกทาส วิถีชีวิตคนไทยสมัยก่อน บ่อนเบี้ย เป็นต้น
พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ตั้งอยู่ถนนปิ่นเกล้านครชัยศรี กิโลเมตร 31 ตำบลขุนแก้ว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ปัจจุบันมีหุ่นไฟเบอร์กลาสทั้งหมด 120 รูป เปิดเข้าชมทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 09.00 - 17.30 น. วันเสาร์ – อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 08.30 – 18.00 น. ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 10 บาท พระภิกษุ สามเณร แม่ชี นักบวช นักศึกษาในเครื่องแบบ 20 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 034 332 607 และ 034 332 109
การเดินทางไปเที่ยว พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
รถยนต์ส่วนตัว จากสะพานปิ่นเกล้า ใช้เส้นทางถนน ปิ่นเกล้า-นครชัยศรี ผ่านชุมทางต่างระดับพุทธมณฑล ตรงไปข้ามสะพานข้ามแม่น้ำนครชัยศรีอีกราว 3 กิโลเมตร จะเห็นทางเข้าพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทยทางขวามือ
รถประจำทาง นั่งรถสายกรุงเทพฯ - นครปฐม (สายใหม่) ที่สายใต้ใหม่ ลงหน้าพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
รถตู้ข้างโลตัสปิ่นเกล้า สาย กรุงเทพฯ - นครปฐม ลงหน้าพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประวัติพระราชวังสนามจัทร์

พระราชวังสนามจันทร์เป็นพระราชวังที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นบนบริเวณที่คาดว่าเป็นพระราชวังเก่าของกษัตริย์สมัยโบราณที่เรียกว่า เนินปราสาท เพื่อเป็นสถานที่ประทับครั้งมานมัสการองค์พระปฐมเจดีย์และเมื่อบ้านเมืองถึงยามวิกฤต
พระราชวังใช้เวลาก่อสร้างนาน 4 ปี โดยมี
หลวงพิทักษ์มานพ (น้อย ศิลป์) ซึ่งต่อมาได้รับโปรดเกล้าฯเลื่อนยศเป็นพระยาวิศุกรรม ศิลปประสิทธิ์ เป็นแม่งาน และสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2450 เมื่อสร้างแล้วเสร็จจึงได้พระราชทานนามว่า "พระราชวังสนามจันทร์" ตามชื่อสระน้ำโบราณหน้าโบสถ์พราหมณ์ (ปัจจุบันไม่มีโบสถ์พราหมณ์เหลืออยู่แล้ว) สระน้ำจันทร์ หรือ สระบัว
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชพินัยกรรมแสดงพระราชประสงค์ยกพระราชวังสนามจันทร์ให้เป็นสถานที่ตั้งของ
โรงเรียนนายร้อยทหารบก โดยมีใจความว่า
" บรรดาที่ดินตึกรามทั้งใหญ่ น้อย ที่รวมอยู่ในเขตซึ่งเรียกว่า "พระราชวังสนามจันทร์" เป็นสมบัติส่วนตัวของข้าพเจ้าโดยแท้ไม่ได้รับมฤดกมาจาก
สมเด็จพระบรมชนกนารถมิได้ ข้าพเจ้าได้เก็บทุนในตำแหน่งหน้าที่พระยุพราชและทุนอื่น ๆ สร้างที่สนามจันทร์ และสร้างพระที่นั่งซึ่งเรียกว่า พระพิมานประฐม นั้นขึ้นก่อน ต่อมาเมื่อข้าพเจ้าได้ราชสมบัติแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้เอาเงินพระคลังข้างที่ทำนุบำรุงที่นี้ตลอดมาเป็นส่วนตัวทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจะเอาที่พระราชวังสนามจันทร์ไปรวมเข้ากับกองมฤดกใหญ่นั้นหาควรไม่ ข้าพเจ้ามีสิทธิ์ตามกฎหมายเหมือนสามัญชน ที่จะยกที่นี้ให้แก่ผู้ใดก็ได้ เพราะฉะนั้นเมื่อสิ้นตัวข้าพเจ้าไปแล้ว ข้าพเจ้าขอยกที่นี้ให้แก่รัฐบาลสยามเป็นสิทธิขาด เพื่อทำเป็นโรงเรียนนายร้อยทหารบก"
ในปัจจุบัน พระราชวังสนามจันทร์อยู่ในความดูแลของสำนักพระราชวัง โดยเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2546 คณะกรรมการอำนวยการบูรณะพระราชวังสนามจันทร์ ซึ่งมีสมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เป็นองค์ประธาน ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย นายนาวิน ขันธหิรัญ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม และมหาวิทยาลัยศิลปากร โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ลิขิต กาญจนาภรณ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ได้น้อมเกล้าฯ ถวายคืนพระราชวังสนามจันทร์แก่สำนักพระราชวังสิ่งก่อสร้าง
พระราชวังสนามจันทร์มีสิ่งก่อสร้างมากมาย ประกอบด้วย
พระที่นั่งพิมานปฐม
พระที่นั่งอภิรมย์ฤดี
พระที่นั่งวัชรีรมยา
พระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์
พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์
พระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์
พระตำหนักทับแก้ว
พระตำหนักทับขวัญ
เทวาลัยคเณศร์
เรือนพระยานนทิการ
เรือนพระธเนศวร
เรือนทับเจริญ
อนุสาวรีย์ย่าเหล
สิ่งก่อสร้างในอดีต
พระที่นั่งปาฏิหาริย์ทัศไนย และ ศาลาลงสรง ปัจจุบัน ได้ถูกรื้อถอนและเคลื่อนย้ายไปตั้งที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
สร้างเสร็จในปี 2454

วันเข้าพรรษา

"เข้าพรรษา" แปลว่า "พักฝน" หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ แม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยียบข้าวกล้าและพืชอื่นๆ จนเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน คือ เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ถ้าปีใดมีเดือน 8 สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือนแปดหลัง และออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เว้นแต่มีกิจธุระเจ้าเป็นซึ่งเมื่อเดินทางไปแล้วไม่สามารถจะกลับได้ในเดียวนั้น ก็ทรงอนุญาตให้ไปแรมคืนได้ คราวหนึ่งไม่เกิน 7 คืนเรียกว่า สัตตาหะ หากเกินกำหนดนี้ถือว่าไม่ได้รับประโยชน์ แห่งการจำพรรษา จัดว่าพรรษาขาด ระหว่างเดินทางก่อนหยุดเข้าพรรษา หากพระภิกษุสงฆ์เข้ามาทันในหมู่บ้านหรือในเมืองก็พอจะหาที่พักพิงได้ตามสมควร แต่ถ้ามาไม่ทันก็ต้องพึ่งโคนไม้ใหญ่เป็นที่พักแรม ชาวบ้านเห็นพระได้รับความลำบากเช่นนี้ จึงช่วยกันปลูกเพิง เพื่อให้ท่านได้อาศัยพักฝน รวมกันหลาย ๆองค์ ที่พักดังกล่าวนี้เรียกว่า "วิหาร" แปลว่าที่อยู่สงฆ์ เมื่อหมดแล้ว พระสงฆ์ท่านออกจาริกตามกิจของท่านครั้งถึงหน้าฝนใหม่ท่านก็กลับมาพักอีกเพราะสะดวกดี แต่บางท่านอยู่ประจำเลย บางทีเศรษฐีมีจิตศัรทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็เลือกหาสถานที่สงบเงียบไม่ห่างไกลจากชุมชนนัก สร้างที่พัก เรียกว่า "อาราม" ให้เป็นที่อยู่ของสงฆ์ดังเช่นปัจจุบันนี้

โดยปรกติเครื่องใช้สอยของพระ ตามพุทธานุญาตให้มีประจำตัวนั้น มีเพียงอัฏฐบริขารอันได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ เข็ม บาตร รัดประคด หม้อกรองน้ำ และมีดโกน และกว่าพระท่านจะหาที่พักแรมได้ บางทีก็ถูกฝนต้นฤดูเปียกปอนมา ชาวบ้านที่ใจบุญจึงถวายผ้าจำนำพรรษา หรือผ้าอาบน้ำฝนสำหรับให้ท่านได้ผลัดเปลี่ยน และถวายของจำเป็นแก่กิจประจำวันของท่านเป็นพิเศษในเข้าพรรษานับเป็นเหตุให้มีประเพณีทำบุญเนื่องในวันนี้สืบมา การที่พระภิกษุสงฆ์ท่านโปรดสัตว์อยู่ประจำเป็นที่เช่นนี้ เป็นการดีสำหรับสาธุชนหลายประการ กล่าวคือ ผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามพระพุทธบัญญัติก็นิยมบวชพระ ส่วนผู้ที่อายุยังไม่ครบบวชผู้ปกครองก็นำไปฝากพระ โดยบวชเป็นเณรบ้าง ถวายเป็นลูกศิษย์รับใช้ท่านบ้าง ท่านก็สั่งสอนธรรม และความรู้ให้ และโดยทั่วไป พุทธศาสนิกชนนิยมตักบาตรหรือไปทำบุญที่วัด นับว่าเป็นประโยชน์

การปฏิบัติตน ในวันนี้หรือก่อนวันนี้หนึ่งวัน พุทธศาสนิกชนมักจะจัดเครื่องสักการะเช่น ดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องใช้ เช่น สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น มาถวายพระภิกษุ สามเณร ที่ตนเคารพนับถือ ที่สำคัญคือ มีประเพณีหล่อเทียนขนาดใหญ่เพื่อให้จุดบูชาพระประธานในโบสถ์อยู่ได้ตลอด 3 เดือน มีการประกวดเทียนพรรษา โดยจัดเป็นขบวนแห่ทั้งทางบกและทางน้ำ
แม้การเข้าพรรษาจะเป็นเรื่องของภิกษุ แต่พุทธศาสนิกชนก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ ทำบุญรักษาศีลและชำระจิตใจให้ผ่องใส ก่อนวันเข้าพรรษาชาวบ้านก็จะไปช่วยพระทำความสะอาดเสนาสนะ ซ่อมแซมกุฏิวิหารและอื่นๆ พอถึง วันเข้าพรรษาก็จะไปร่วมทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรมและรักษาอุโบสถศีลกันที่วัด บางคนอาจตั้งใจงดเว้น อบายมุขต่างๆ เป็นกรณีพิเศษ เช่น งดเสพสุรา งดฆ่าสัตว์ เป็นต้น อนึ่ง บิดามารดามักจะจัดพิธีอุปสมบทให้บุตรหลาน ของตนโดยถือกันว่าการเข้าบวชเรียนและอยู่จำพรรษาในระหว่างนี้จะได้รับ อานิสงส์อย่างสูง

กิจกรรมสำหรับพุทธศาสนิกชนในวันเข้าพรรษา ๑. ร่วมกิจกรรมทำเทียนจำนำพรรษา ๒. ร่วมกิจกรรมถวายผ้าอาบน้ำฝน และจตุปัจจัย แก่ภิษุสามเณร ๓. ร่วมทำบุญ ตักบาตร ฟังธรรมเทศนา รักษาอุโบสถศีล ๔. อธิษฐาน งดเว้นอบายมุขต่างๆ

วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553

เทพโพไซดอน




โพไซดอน เป็นชื่อเรียกเทพเจ้าตามเทววิทยากรีก แต่สำหรับชาวโรมันซึ่งรับเอาวัฒนธรรมของกรีกมาอีกทอดหนึ่งจะเรียกเทพเจ้าองค์นี้ว่า ‘เนปจูน’ ตามภาษาละติน โพไซดอนเป็นผู้คุ้มครองท้องทะเลและห้วงน้ำ (The ruler of the sea) เป็นพระอนุชาของเทพซุสหรือจูปิเตอร์ตามภาษาละติน เทพที่มีอำนาจสูงสุดในบรรดาเทพเจ้ากรีก-โรมันทั้งหมด ส่วนพระชายาของพระองค์คือ เทพีแอมฟิไตรติ ซึ่งก็เป็นเทพีแห่งท้องทะเลเช่นกัน เทพโพไซดอนมีความสำคัญสำหรับชาวกรีกรองลงมาจากเทพซุส ด้วยเหตุว่าชาวกรีกที่อาศัยอยู่ทั้งสองฝั่งของทะเลอีเจียนเป็นชาวทะเล ดังนั้นเทพแห่งท้องทะเลจึงมีความสำคัญอย่างมาก และนอกจากพระองค์จะเป็นเทพแห่งท้องทะเลแล้ว พระองค์ยังเป็นผู้ประทานม้าตัวแรกให้แก่มนุษย์ โดยการใช้อาวุธประจำกายนั่นก็คือตรีศูลตีก้อนหินจนเกิดเป็นน้ำพุเกลือและกลายเป็นม้าตัวแรกของโลก พระองค์จึงได้รับการสรรเสริญทั้งในฐานะที่เป็นเทพเจ้าแห่งท้องทะเลและผู้ประทานม้าตัวแรกให้มนุษย์ด้วย และในเมื่อพระองค์เป็นผู้คุ้มครองท้องทะเลแล้ว พระองค์จึงเป็นผู้ควบคุมลมพายุ และคลื่นใต้ท้องทะเลอีกด้วย เทพโพไซดอนมีปราสาทใต้ทะเลที่งดงามยิ่งนัก แม้จะเสด็จขึ้นไปประทับบนเขาโอลิมปัสอยู่บ่อยๆ ก็ตาม และเมื่อพระองค์ทรงราชรถขึ้นมาไปตามพื้นน้ำ คลื่นลมบนผืนน้ำจะสงบราบคาบอยู่ใต้ล้อราชรถที่แล่นผ่านไป แต่หากทำให้พระองค์โกรธ พระองค์จะสั่นตรีศูล และเมื่อพระองค์สั่นอาวุธประจำกายนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างบนท้องน้ำจะแหลกเป็นผุยผง พระองค์จึงได้รับสมญานามว่า “ผู้สั่นคลอนโลก” (Earth-shaker) อีกฉายาหนึ่ง วิหารของเทพโพไซดอนอยู่ที่อัคซูเนียน ประเทศกรีซ อยู่บนอะโครโพลิสตรงข้ามกับวิหารพาร์เธนอนที่โด่งดัง ซึ่งเป็นของเทพีอะธีนา ซึ่งชาวกรีกโบราณนั้นบูชาพระองค์ควบคู่ไปกับเทพเจ้าวีรบุรุษองค์อื่นๆ ถ้าแฟนคอลัมน์คนไหนมีโอกาสเดินทางไปประเทศกรีซ ก็ลองแวะไปบูชาวิหารของเทพโพไซดอนนอกเหนือจากวิหารของเทพองค์อื่นๆ

ประเพณีสงการณ์กับตำนานสงการณ์

ประเพณีสงกรานต์ ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย ซึ่งยึดถือปฏิบัติสืบเนื่องกันมาแต่โบราณ และเป็นวัฒนธรรมประจำชาติที่งดงามฝังลึกอยู่ในชีวิตของคนคำว่า “สงกรานต์” มาจากภาษาสันสฤต แปลว่า ผ่านหรือเคลื่อนย้าย หมายถึง การเคลื่อนไทยมาช้านานการย้ายของพระอาทิตย์เข้าไปจักรราศีใดราศีหนึ่ง จะเป็นราศีใดก็ได้ แต่ความหมายที่คนไทยทั่วไปใช้ หมายเฉพาะวันและเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษในเดือนเมษายนเท่านั้น
ตำนานเกี่ยวกับกำเนิดวันสงกรานต์ กล่าวไว้ว่า ก่อนพุทธกาลมีเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง อายุเลยวัยกลางคนก็ยังไร้ทายาทสืบสกุล ซึ่งทำให้ท่านเศรษฐีทุกข์ใจเป็นอันมาก ข้างรั้วบ้านเศรษฐีมีครอบครัวหนึ่ง หัวหน้าครอบครัวเป็นนักเลงสุรา ถ้าวันไหนร่ำสุราสุดขีด ก็จะพูดเสียงดังแสดงวาจาเยาะเย้ยเศรษฐีสบประมาทในความมีทรัพย์มาก แต่ไร้ทายาทสืบสมบัติเสมอ วันหนึ่งเศรษฐีจึงถามว่ามีความขุ่นเคืองอะไรจึงแสดงอาการเยาะเย้ยและสบประมาท เฒ่านักดื่มจึงตอบ ถึงท่านมั่งมีสมบัติมากก็จริง แต่เป็นคนมีบาปกรรมท่านจึงไม่มีบุตร ตายไปแล้วสมบัติก็ตกเป็นของผู้อื่นหมด สู้เราไม่ได้ถึงแม้จะยากจนแต่ก็มีบุตรคอยดูแลรักษายามเจ็บไข้ และรักษาทรัพย์สมบัติเมื่อเราสิ้นใจนับแต่นั้นมา เศรษฐียิ่งมีความเสียใจ จึงพยายามไปบวงสรวงพระอาทิตย์และพระจันทร์ เพียรพยายามตั้งจิตอธิษฐานขอบุตร ทำเช่นนี้เป็นเวลาติดต่อกันถึงสามปี ก็ไม่ได้บุตรดังที่ตนปรารถนาจนวันหนึ่งเป็นวันนักขัตฤกษ์สงกรานต์ ท่านเศรษฐีก็พาข้าทาสบริวารของตนมาที่โคนต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ที่อยู่บนฝั่งแม่น้ำที่อาศัยของนกทั้งหลาย ท่านเศรษฐีให้บริวารล้างข้าวสารด้วยน้ำสะอาดถึง 7 ครั้ง แล้วจึงหุงข้าวสารนั้น เมื่อสุกแล้วยกขึ้นบูชาพระไทร เทพเหล่านั้นเกิดความสงสาร จึงขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์ ทูลขอบุตรแก่เศรษฐี พระอินทร์จึงบัญชาให้เทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ “ธรรมบาล” ลงมาเกิดในครรภ์ของภรรยาเศรษฐี เมื่อครบกำหนดภรรยาเศรษฐีก็คลอดบุตรเป็นชาย เศรษฐีจึงตั้งชื่อว่า ธรรมบาลกุมาร เพื่อตอบสนองพระคุณเทพเทวา เศรษฐีจึงสร้างปราสาทสูง 7 ชั้น ถวายเทพต้นไทรเมื่อธรรมบาลกุมารเจริญวัยขึ้น เป็นเด็กที่มีปัญญาเฉียบแหลม รอบรู้ และวัยเพียง 7 ขวบก็เรียนจบไตรเพท ยังมีเทพองค์หนึ่งชื่อ “ท้าวกบิลพรหม” ได้ยินกิตติศัพท์ทางสติปัญญาอันยอดเยี่ยมของเด็กน้อย จึงคิดทดลองภูมิปัญญาโดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพันจึงถามปัญหา 3 ข้อ ถ้ากุมารน้อยแก้ปัญหาทั้ง 3 ข้อได้ กบิลพรหมจะตัดศีรษะของตนบูชา ถ้าธรรมบาลแก้ไม่ได้ ก็จะต้องเสียหัวเพื่อยอมรับความพ่ายแพ้ ปัญหานั้นมีว่า
1. ตอนเช้าราศีคนอยู่แห่งใด
2. ตอนเที่ยงราศีของคนอยู่แห่งใด
3. ตอนค่ำราศีของคนอยู่แห่งใด
เมื่อได้ฟังปัญหาแล้ว ธรรมบาลไม่อาจทราบคำตอบในทันทีได้ จึงผลัดวันตอบปัญหาไปอีก 7 วัน ครั้นเวลาล่วงจากนั้นไป 6 วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังคิดหาคำตอบปัญหานั้นไม่ได้ จึงหลบออกจากปราสาทหนีเข้าป่า และไปนอนพักเอาแรงใต้ต้นตาล ขณะนั้นบนต้นตาลมีนกอินทรีคู่หนึ่งอาศัยอยู่ นางนกถามสามีว่า “พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารที่ไหน” นกสามีก็ตอบว่า “พรุ่งนี้เราไม่ต้องบินไปไกล เพราะจะได้กินเนื้อธรรมบาลกุมาร ซึ่งจะถูกท้าวกบิลพรหมตัดหัว เนื่องจากแก้ปัญหาไม่ได้” นางนกถามว่า “ปัญหานั้นว่าอย่างไร” นกสามีตอบว่า ปัญหามีอยู่ 3 ข้อ และหมายถึง
ข้อหนึ่ง ตอนเช้าราศีของมนุษย์อยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุกๆ เช้า
ข้อสอง ตอนเที่ยงราศีคนอยู่ที่อก มนุษย์จึงต้องเอาเครื่องหอมประพรมที่อก
ข้อสาม ตอนค่ำราศีคนอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน
ธรรมบาลกุมาร ได้ยินการไขปัญหาของนกอินทรี และจำจนขึ้นใจ ทั้งนี้เพราะธรรมบาลรู้ภาษานก จึงกลับสู่ปราสาทอันเป็นที่อยู่แห่งตน รุ่งขึ้นเป็นวันครบกำหนดแก้ปัญหา ท้าวกบิลพรหมมาฟังคำตอบ ธรรมบาลกุมารกล่าวแก้ปัญหาตามที่นกอินทรีคุยกันทุกประการ ท้าวกบิลพรหมจึงเรียก ธิดาทั้ง 7 ของตนอันเป็นบริจาริกาคือหญิงรับใช้ของพระอินทร์มาพร้อมกัน แล้วบอกว่าตนจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร แต่ถ้าเอาศีรษะพ่อวางไว้บนแผ่นดินก็จะลุกไหม้ไปทั้งโลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ อากาศจะแห้งแล้งฟ้าฝนจะหายไปสิ้น ถ้าทิ้งลงไปในมหาสมุทร น้ำในมหาสมุทรจะแห้งแล้งไปเช่นกัน จึงสั่งให้ นางทั้ง 7 คน เอาพานมารองรับศีรษะ แล้วจึงตัดศรีษะส่งให้นางทุงษธิดาคนโต นางทุงษจึงเอาพานรับเศียรบิดาไว้แล้วแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที แล้วอัญเชิญไปไว้ในมณฑปถ้ำคันธุรลี เขาไกรลาส บูชาด้วยเครื่องทิพย์ พระเวสสุกรรมก็เนรมิตโรงประดับด้วยแก้ว 7 ประการ ชื่อภควดี ให้เป็นที่ประชุมเทวดา เทวดาทั้งปวงก็เอาเถาฉมูนวดลงมาล้างในสระอโนดาต 7 ครั้ง แล้วก็แจกกันเสวยทุกๆ องค์ ครั้นครบ 365 วัน โลกสมมุติว่าเป็นหนึ่งปีเป็นสงกรานต์ ธิดา 7 องค์ ของเท้ากบิลพรหมก็ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรของพระบิดาออกแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุทุกปี แล้วจึงกลับไปเทวโลก


วันศุกร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2553

กระชาย ตะไคร้ อัญชัน บำรุงไต สายตา แก้เพลีย

สมุนไพร กระชาย ตะไคร้ อัญชัน
สูตรดังกล่าวมีวิธีทำง่ายๆ คือ เอากระชายสด 50 กรัม ตะไคร้สด 50 กรัม และดอกอัญชันสด 30 กรัม ต้มกับน้ำ กะโดยสายตาจนเดือดแล้วดื่มขณะอุ่นทุกวัน วันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละครึ่งแก้ว หรือดื่มแทนน้ำ
ต้มดื่มติดต่อกัน 3-6 เดือน จะช่วยบำรุงไตสำหรับไตปกติให้แข็งแรง ไม่ใช่ดื่มเพื่อรักษาโรคไต บำรุงสายตาแก้ตาแห้ง บำรุงกำลังและแก้อาการอ่อนเพลีย ร่างกายกระชุ่มกระชวยดีมาก
กระชาย หรือ BOESENBERGIA ROTUNDA LINN. อยู่ในวงศ์ ZINGIBERACEAE ประโยชน์ เหง้าและรากมีน้ำมันหอมระเหย เช่น CINEOL, BORNEOL, ใช้แต่งกลิ่นอาหารและแก้บิด
ตะไคร้ CYMBOPOGON CITRATUS (NEES) STAPF. ชื่อสามัญ LEMON GRASS อยู่ในวงศ์ GRAMINAE ประโยชน์ ทั้งต้นเป็นเครื่องเทศ ทำเครื่องดื่ม เป็นยาขับปัสสาวะ ขับลม แก้ท้องอืดเฟ้อ สารสำคัญคือน้ำมันหอมระเหยซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยสาร CITRAL และ GERANIOL
อัญชัน หรือ CLITORIA TERNATEA LINN. ชื่อสามัญ BLUE PEA, BUTTERFLY PEA วงศ์ LEGUMINOSAE ประโยชน์ ดอกใช้แต่งสีขนม ใช้ทดสอบความเป็นกรด-ด่างแทนกระดาษ “ลิตมัส” น้ำคั้นจากดอกทาทำให้ผมขึ้นและคิ้วดก ซึ่งจะได้ผลดีในเด็ก

วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วารสารเมืองโบราณ

วารสารเมืองโบราณ ฉบับปฐมฤกษ์เริ่มวางจำหน่ายในช่วงต้นเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๑๗ ตลอดระยะเวลากว่าสามสิบปีที่ผ่านมา การนำเสนอภาพและบทความใน วารสารเมืองโบราณได้เปลี่ยนแปลงแนวทางหลักไปตามเงื่อนไขบริบทของแต่ละมิติเวลาอยู่เสมอ
ในช่วงสามทศวรรษก่อน ขณะแผ่นดินถิ่นฐานอันกว้างใหญ่ของประเทศถูกบุกเบิกแผ้วถางเพื่อการเกษตรและอุตสาหกรรม คณะผู้จัดทำช่วงแรกๆ ได้มุ่งเน้นสำรวจและรายงานเกี่ยวกับแหล่งโบราณคดีที่ค้นพบใหม่ เชื่อมโยงกับการอ่านและอธิบายประวัติศาสตร์จากเอกสารประเภทจารึก ตำนานเป็นหลัก ต่อมา ได้เพิ่มเนื้อหาให้กับการศึกษาเฉพาะเรื่อง โดยเน้นการอธิบายจากมุมมองและทัศนะที่แตกต่างกันของผู้เขียนจำนวนมาก ครั้นในช่วงต้นทศวรรษ ๒๕๓๐ จึงหันมาสนใจที่จะอธิบายและให้ความหมายกับชุมชนจากอดีตจนถึงปัจจุบันในมุมมองของกลุ่มที่ร่วมวัฒนธรรมเดียวกัน อันเป็นความพยายามที่จะนำเสนอความรู้ความเข้าใจที่ละเอียดและลึกลงไปกว่าที่มีอยู่ในกระแสการท่องเที่ยวเชิงปริมาณ ซึ่งเริ่มเฟื่องฟูขึ้นแล้วในเวลานั้น
และก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งทศวรรษแล้ว ที่แนวทางหลักของวารสารเมืองโบราณให้ความสำคัญกับการเฝ้าสังเกต รายงาน และอธิบายการเปลี่ยนแปลงของสังคมและวัฒนธรรมไทยท้องถิ่น ที่แสดงออกผ่านทางประเพณีพิธีกรรม วิธีคิด ตลอดจนการสร้างอัตลักษณ์ใหม่บนพื้นฐานเดิม ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์อันเชี่ยวกรากซึ่งส่งผลสะเทือนไปทั่วถึงทุกแห่งแหล่งที่ในโลก โดยการนำเสนอยังคงยึดแนวทางงานวิชาการเพื่อการค้นคว้าอ้างอิง ทว่าก็มีส่วนคอลัมน์ประจำเล่ม ซึ่งมีความหลากหลายไปตามแต่ความสนใจพิเศษของผู้อ่านทั่วไปที่ยังเป็นนักเรียน นักศึกษา และคนทั่วไปรวมอยู่ด้วย
ปีที่ ๓๐ ของวารสารเมืองโบราณจึงอาจนับว่าเป็นช่วงเวลาที่วารสารฉบับหนึ่ง ซึ่งคลุกคลีกับเรื่องราวประวัติศาสตร์ โบราณคดี ศิลป และวัฒนธรรมในทางลึกมานานกว่าสามทศวรรษ จะเริ่มขยายขอบข่ายความสนใจศึกษาเข้าสู่เรื่องราวของผู้คน สังคม และชุมชน ตลอดจนเปิดพื้นที่ให้แก่การเข้ามามีส่วนร่วมของคนทุกกลุ่มเหล่าอย่างแท้จริง
ปัจจุบัน วารสารเมืองโบราณยังคงเป็นหนังสือขนาด ๘ หน้ายกพิเศษ หนา ๑๖๐ หน้า เนื้อหาในเล่มแบ่งเป็นสามส่วน คือ
ส่วนเรื่องจากปก เป็นกลุ่มบทความหลัก ๓ - ๕ เรื่อง ซึ่งจะกล่าวถึง ตั้งข้อสังเกต และอรรถาธิบายถึงความรู้เกี่ยวกับ “หัวเรื่อง” (theme) นั้นๆ ในเชิงวิชาการทั้งทางลึกและทางกว้าง มีส่วนเชิงอรรถ การขยายความ และการอ้างอิงหนังสือบรรณานุกรมเช่นเดียวกับงานวิชาการทั่วๆ ไป แต่ปรับสำนวนภาษาให้อ่านเข้าใจได้ง่าย นำเสนอข้อสังเกตและแนวคิดรวบรัดชัดเจน ไม่เยิ่นเย้อ ดังเช่นที่เคยนำเสนอเรื่องวัฒนธรรมทุ่งกุลา ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น
ส่วนบทความ เป็นบทความเชิงวิชาการที่เขียนโดยคณาจารย์ในสถานศึกษา ข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่จากองค์กรหน่วยงานซึ่งทำการสอน เผยแพร่ หรือรับผิดชอบดูแลเกี่ยวกับเรื่องราวนั้นๆ โดยตรง และสาระจากการอภิปรายในประเด็นวิชาการที่ยังไม่ยุติ ข้อมูลหลักฐาน หรือแนวคิดใหม่ๆ เช่น เรื่องทวารวดีในสายตานักประวัติศาสตร์ ปัญหาศิลาจารึกหลักที่ ๑ พัฒนาการก่อนยุคสุโขทัย ตลอดจนสกู๊ปพิเศษที่เจาะลึกถึงความเคลื่อนไหวใหม่ๆ เน้นเรื่องเทคโนโลยี วัสดุอุปกรณ์ ขั้นตอนและวิธีการ ตลอดจนความรู้เชิงเทคนิคในระดับปฏิบัติการ ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลายทั่วไปนัก เช่น เทคโนโลยีดิจิตอลกับงานอนุรักษ์ภาพถ่ายโบราณ วิธีการกำหนดอายุโบราณวัตถุ เครื่องมือและวิธีการขุดค้นของนักโบราณคดี เป็นต้น
ส่วนคอลัมน์ประจำเล่ม เป็นคอลัมน์ซึ่งมีความสั้นกระชับ มีเนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่จิตรกรรมฝาผนัง โบราณสถาน ประติมากรรม ไปจนถึงเภสัชวิทยาโบราณ งานช่างพื้นบ้าน การแปลความศิลาจารึก การวิจารณ์หนังสือ และรายงานข่าวทั่วๆ ไป นำเสนอโดยสำนวนภาษาที่ง่าย เหมาะสำหรับผู้อ่านที่เป็นนักเรียน นักศึกษา และแม้แต่ผู้สนใจเรื่องราวทั่วๆไป
บทความทั้งสามส่วนจะถูกคัดเลือกให้มีความหลากหลายทั้งในแง่ของพื้นที่ที่ศึกษา มิติเวลา และคุณวุฒิวัยวุฒิ ตลอดจนกลุ่มสังกัดของผู้เขียน เพื่อให้ครอบคลุมฐานของผู้อ่านที่มีความสนใจเรื่องทางด้านนี้ทุกเพศทุกวัยด้วย

Gmail

คุณรู้หรือไม่ว่ามีอยู่ 2 ประเทศ ไม่สามารถใช้ชื่อ Gmail ได้
นักท่องเน็ทส่วนใหญ่ต้องมี อีเมล (Email) อย่างน้อย คนละ 2 ชื่อ เพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนเรื่องราวระหว่างกัน อีเมลยอดนิยมส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้น Hotmail Yahoo และ Gmail

Gmail คือ บริการฟรีอีเมล ที่จัดทำขึ้นโดย Google เปิดตัวให้ทดลองใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2547 ในตอนนั้น Gmail ยังอยู่ในช่วงพัฒนา ผู้ที่ต้องการใช้งานจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับการเชิญ (invite) เท่านั้น แต่เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ทาง Google ได้เปิดให้บุคคลทั่วไปสามารถใช้งาน Gmail โดยสมัครผ่านทางหน้าเว็บ
www.gmail.com ได้เลย ถือว่าเป็นการเปิดศึกของการให้บริการ ฟรีอีเมล ที่น่าจับตามอง

บริการ Gmail ดีอย่างไร ???

Gmail ได้เปรียบผู้ให้บริการฟรีอีเมลทั่วไปในเรื่องของพื้นที่การเก็บอีเมล ในขณะที่ทาง Hotmail และ Yahoo ให้พื้นที่ใช้งานอยู่ที่ 1 GB แต่ของ Gmail กลับให้พื้นที่การใช้งานมากกว่าโดยอยู่ที่ 2.8 GB เทียบเท่ากับหน้าเว็บเพจถึง 1.4 ล้านหน้า !!!
จุดเด่นโดนใจนอกเหนือจากพื้นที่การใช้งาน ที่ให้เยอะจนสามารถเก็บอีเมลไว้อย่างจุใจแล้ว Gmail ยังสามารถเช็คอีเมลเข้าใหม่ผ่านทางเว็บบราวเซอร์ของ Firefox ได้เลย นอกจากนี้ยังได้รับสิทธิพิเศษในการใช้บริการต่าง ๆ ของ Google อย่างเช่น บริการ iGoogle เสริชเอ็นจิ้น แบบใหม่ที่สามารถจัดรูปแบบ การใช้งานตามสไตล์ของผู้ใช้ เพียงแค่มีอีเมลของ Gmail เพื่อใช้ในการเข้าระบบ เป็นต้น
แต่คุณรู้หรือไม่ว่า...มีเพียงประเทศ เยอรมัน และ ประเทศ อังกฤษ เท่านั้น ที่ทาง Google ต้องเปลี่ยนจาก Gmail เป็น Google Mail เนื่องจากชื่อ Gmail ซ้ำกับชื่อผู้ให้บริการอื่นที่มีอยู่ก่อนแล้ว ทำให้กลายเป็นเพียง 2 ประเทศในโลก ที่ใช้ @googlemail.com
ทะเลหมอกบนเขาค้อ



เขาค้อ เป็นชื่อเรียกรวมทิวเขาน้อยใหญ่ของเทือกเขาเพชรบูรณ์ ในเขตอำเภอเขาค้อ เหตุที่เรียกกันว่า เขาค้อ เป็นเพราะป่าบริเวณนี้มีต้นค้อขึ้นอยู่มาก เนื่องจากภูมิอากาศบนเขาค้อเย็นตลอดปี ค่อนข้างเย็นจัดในฤดูหนาวและมีทัศนียภาพสวยงาม จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของเพชรบูรณ์
เขาค้อประกอบด้วยภูเขาสลับซับซ้อนมากมาย ยอดเขาค้อ มีความสูงประมาณ 1,174 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล เขาย่าสูง 1,290 เมตรและเขาใหญ่ สูง 865 เมตร นอกจากนั้นยังมีเขาตะเคียนโง๊ะ เขาหินตั้งบาตร เขาห้วยทราย และเขาอุ้มแพ ลักษณะป่าไม้ในแถบนี้เป็นป่าเต็งรังหรือป่าไม้สลัดใบ ป่าสน และป่าดิบ ที่น่าสนใจก็คือ พันธุ์ไม้ตระกูลปาล์ม ลักษณะคล้ายต้นตาล แต่ออกผลเป็นทะลายคล้ายหมาก แม้ปัจจุบันป่าจะถูกถางไปมากก็ตาม แต่ก็ยังมีให้เห็นอยู่บ้าง สถานที่ท่องเที่ยงบนเขาค้อ นอกจากสถานที่ที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์แล้ว เขาค้อยังมีความสวยงามให้ชื่นชมได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะการขึ้นไปชมทะเลหมอกในฤดูหนาว ซึ่งมีที่พักหลายแห่งสามารถเห็นทะเลหมอกที่สวยงามได้ในตอนเช้า ส่วนในฤดูร้อนก็ยังมีนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวชม เนื่องจากมีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำ ทำให้มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี
ทะเลหมอกบนเขาค้อ บริเวณที่เกิดทะเลหมอกบนเขาค้อ คือบริเวณเหนืออ่างเก็บน้ำรัตนัย ซึ่งอยู่ด้านล่างของถนนเส้นทางหลักสาย 2196 บริเวณใกล้ๆ กับที่ทำการอ.เขาค้อ สามารถชมทะเลหมอกได้เป็นระยะทางค่อนข้างยาวไกล ในช่วงเช้า ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ถึงเวลาประมาณ 8 โมงเช้า จุดที่นิยมไปชมกันมากที่สุด คือบริเวณศาลาชมวิวเขาค้อ, จุดบริเวณที่ตั้งของรีสอร์ทเขาค้อทะเลหมอก, พรสวรรค์รีสอร์ท,เขาค้อสวิส, รุ่งอรุณรีสอร์ท, ภูอาบหมอก, บ้านทะเลหมอก และบริเวณใกล้เคียง เช่น ชุมสายโทรศัพท์เขาค้อ และสถานที่ราชการ ที่อยู่ติดๆกัน เช่นสถานีตำรวจภูธร อ.เขาค้อ และโรงเรียนร่มเกล้าเขาค้อ
นอกจากนี้ ยังมีรีสอร์ทอีกหลายแห่ง ที่สามารถพักแรมในบ้านพัก หรือกางเต็นท์นอน เพื่อชมทะเลหมอกยามเช้า ที่หน้าบ้านกันเลย ส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณจุดชมทะเลหมอกริมถนนสาย 2196 นี้ บางรีสอร์ทอาจต้องเข้าซอย หรืออยู่ต่ำลงไปอีกนิดหนึ่ง แต่ก็สามารถชมทะเลหมอกได้เช่นกัน บางวันที่มีหมอกหนาแน่น รีสอร์ทที่อยู่ต่ำ ก็จะถูกหมอกคลุม กลายเป็นส่วนหนึ่งของทะเลหมอก เป็นบ้านในสายหมอก ได้บรรยากาศไปอีกแบบ
บริเวณจุดชมวิวเขาค้อทะเลหมอก
จุดกางเต็นท์
สามารถกางเต็นท์ในรีสอร์ทเกือบทุกแห่ง ซึ่งจะเสียค่าบริการรายหัว ประมาณ 100-250 บาท แล้วแต่รีสอร์ท เป็นค่าที่พักรวมกับอาหารเช้า และบริการเสริมอื่นๆของรีสอร์ท แต่หากต้องการกางเต็นท์ในพื้นที่ราชการบริเวณนี้ ก็สามารถกางเต็นท์ได้ที่ ชุมสายโทรศัพท์เขาค้อ บริเวณติดกัน รวมถึงสถานที่ราชการอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งส่วนใหญ่เปิดบริการให้นักท่องเที่ยวเข้ามากางเต็นท์พักแรม ในช่วงเทศกาล หรือหากไม่ต้องการพักแรมเบียดเสียดกัน ก็หาที่พักที่ไกลออกไปสักนิด แล้วค่อยขึ้นมาชมทะเลหมอกยามเช้า ก็สะดวกดี

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

“น้ำอัดลม” ภัยที่คาดไม่ถึง



ปัจจุบันเครื่องดื่มยอดนิยมประเภทหนึ่งในประเทศไทยที่นิยมดื่มกันมากในทุกเพศ ทุกวัย ก็คือ “น้ำอัดลม” ซึ่งน้ำอัดลมที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปนั้นมีหลายยี่ห้อด้วยกัน แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า น้ำอัดลมที่ท่านดื่มอยู่นี้มีโทษอย่างไรบ้าง ทางด้านคุณคงไม่ต้องพูดถึง เพราะน้ำอัดลมไม่มีคุณค่าทางโภชนาการแต่อย่างใด (ในแง่ของวิตามิน และแร่ธาตุ) แต่จะมีส่วนผสมของน้ำตาลสูง มีกรดสูงมาก และมีสารปรุงแต่งจำพวกวัตถุกันเสีย และสีมากกว่า บางคนชอบดื่มน้ำอัดลมเย็น ๆ หลังทานอาหารแต่ละมื้อ ลองเดาสิว่าคนเหล่านั้นได้รับผลกระทบอะไรบ้าง ร่างกายของคนเราขณะย่อยอาหารจะมีอุณหภูมิ 37 องศา แต่น้ำอัดลมเย็น ๆ ที่ดื่มเข้าไปมีอุณหภูมิต่ำกว่า 37 องศามาก และมีอุณหภูมิเกือบจะ 0 องศาในบางครั้ง กรณีเช่นนี้ทำให้ประสิทธิภาพในการย่อยอาหารของร่างกายต่ำลง การย่อยอาหารทำได้ยากขึ้นและย่อยอาหารได้น้อยลง ในความเป็นจริงแล้ว อาหารในร่างกายจะเสีย และส่งแก๊สซึ่งมีกลิ่นเหม็นออกมา อาหารจะเน่าเปื่อย และทำให้เกิดสารพิษซึ่งจะถูกดูดซึมในลำไส้ และจะไหลเวียนในระบบเลือดไปทั่วร่างกายสารพิษซึ่งแพร่ออกไปทั่วร่างกายนี้จะส่งผลให้เชื้อโรคต่าง ๆ เจริญเติบโตได้ดีขึ้น
คุณเคยคิดก่อนดื่มหรือไม่ว่าคุณดื่มอะไรเข้าไปคุณกำลังกลืนสารคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสารที่ไม่มีใครในโลกจะแนะนำให้คุณดื่ม เรามาดูส่วนประกอบของน้ำอัดลมกันดีกว่า ว่าส่วนประกอบนั้นมีอะไรบ้าง
ส่วนประกอบของน้ำอัดลม
1. น้ำ เป็นส่วนประกอบหลักของน้ำอัดลม เป็นน้ำที่สะอาด อาจจะใช้น้ำประปา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากน้ำบาดาลที่ผ่านการกรองและฆ่าเชื้อโรคด้วยคลอรีน

2. สารให้รสหวาน สารให้รสหวาน คือ น้ำตาลทราย นำมาผสมน้ำ แล้วต้มทำเป็นน้ำเชื่อมและกรอง ปัจจุบันมีการใช้สารให้ความหวานตัวอื่นเพิ่มมา เช่น น้ำเชื่อมข้าวโพด (Corn syrup) สารทดแทนความหวาน เช่น แอสปาเทม
3. สารปรุงแต่งที่เรียกกันว่า หัวน้ำเชื้อ ซึ่งจะเป็นส่วนผสมของสารที่ให้กลิ่นและสี กับกรดบางชนิดที่ใช้ในอาหาร เช่น กรดมะนาวหัวน้ำเชื้อจะนำมาผสมในน้ำเชื่อม
4. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยจะนำมาอัดลงในน้ำหวานที่ผสมไว้
5. คาเฟอีน ในบางยี่ห้อ
6. วัตถุกันเสีย
น้ำอัดลมบรรจุขวดหรือกระป๋องที่มีจำหน่ายกันทั่วไปนั้น แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทด้วยกัน ตามลักษณะเฉพาะของกลิ่นรสและสีของผลิตภัณฑ์ ดังนี้
ประเภทที่ 1 น้ำอัดลมรสโคล่า หรือน้ำดำ น้ำอัดลมประเภทนี้ปรุงแต่ด้วยหัวน้ำเชื้อโคล่าซึ่งมีคาเฟอีนที่สกัดจากส่วนใบของต้นโคคาอยู่ด้วยปริมาณของคาเฟอีนในน้ำอัดลมชนิดโคล่าแต่ละยี่ห้อก็จะแตกต่างกันไปแล้วแต่สูตรลับเฉพาะของแต่ละบริษัท สำหรับสีน้ำตาลเข้มที่เป็นที่มาของสีน้ำดำนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากสีผสมอาหารที่เป็นสีของน้ำตาลเคี่ยวไหม้
ประเภทที่ 2 น้ำอัดลมไม่ใช่โคล่า ได้แก่น้ำอัดลมสีขาวใสที่ปรุงแต่ด้วยหัวน้ำเชื้อเลมอน-ไลม์ น้ำอัดลมที่ปรุงแต่งกลุ่นรสเลียนแบบน้ำผลไม้ เช่น ส้ม องุ่น มะนาว ลิ้นจี่ น้ำหวานอัดลม พวกน้ำเขียว น้ำแดง และน้ำอัดลมที่สีเหมือนโคล่าแต่ไม่ใช่ คือ รู้ทเบียร์เป็นต้น น้ำอัดลมเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีคาเฟอีน เนื่องจากไม่ได้ปรุงแต่ด้วยหัวน้ำเชื้อชนิดโคล่า อย่างไรก็ตามอาจมีการเติมคาเฟอีนสกัดเล็กน้อยในส่วนผสม เพื่อให้ได้ฤทธิ์กระตุ้นของคาเฟอีน ทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเมื่อดื่ม ตามแต่สูตรของผู้ผลิตซึ่งอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศด้วย
คุณค่าทางโภชนาการของน้ำอัดลมอยู่ที่น้ำตาลซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้ แต่จุดอ่อนของน้ำอัดลมอยู่ที่ผู้ดื่มได้พลังงานเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีสารอาหารอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีก เรียกว่าพลังงานที่ว่างเปล่า หรือ Empty caloriesดังนั้นถ้าดื่มน้ำอัดลมมากและรับประทานอาหารอื่นน้อย ก็อาจขาดสมดุลทางโภชนาการ ที่สำคัญคือในเด็กยิ่งเด็กเล็ก ๆ ยิ่งน่าเป็นห่วง ถ้าปล่อยให้ดื่มแต่น้ำอัดลม ไม่ได้ดูแลให้รับประทานอาหารให้ครบตามหลักโภชนาการอาจขาดสารอาหารได้ บางครั้งก็ให้ดื่มในเวลาที่ใกล้จะถึงหรือในระหว่างรับประทานอาหารมื้อหลัก ทำให้อิ่มและกินอาหารได้น้อยลง ข้อเสียอีกประการหนึ่งเนื่องจากน้ำอัดลมมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบในปริมาณมาก และมีสภาวะเป็นกรดด้วย อาจเป็นเหตุให้ฟันผุ นอกจากนี้น้ำอัดลมยังอาจทำให้ท้องอืดเพราะเกิดก๊าซในกระเพาะอาหาร และสภาวะที่เป็นกรดของน้ำอัดลมก็ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารด้วย
ผลเสียของน้ำอัดลมต่อสุขภาพ
1. อ้วน ความหวานจากน้ำตาลถ้าดื่มมากและบ่อย สะสมพลังงานทำให้อ้วน การดื่มน้ำอัดลม 1 กระป๋อง จะต้องวิ่งเป็นเวลา 15-20 นาที จึงจะใช้พลังงานหมด

2. ฟันผุ เกิดจากกรดในน้ำอัดลมทำลายสารเคลือบฟัน และความหวานที่เป็นอาหารของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้ฟันผุ
3. ปวดท้อง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่อัดในน้ำอัดลมจะกลายเป็นกรดคาร์บอนิก ซึ่งเป็นกรด จะทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร เป็นโรคกระเพาะเกิดอาการปวดท้อง แก๊สในน้ำอัดลมทำให้ท้องอืด แน่นท้อง และปวดท้อง ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กและเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่ผู้ปกครองต้องพาเด็กมาพบแพทย์ด้วยอาการปวดท้อง
4. กระตุ้นหัวใจและระบบประสาท ผลจากคาเฟอีนในน้ำอัดลม มีผลกระตุ้นหัวใจทำให้ใจสั่น มือสั่น นอนไม่หลับ
5. กระดูกพรุน คาเฟอีนมีผลต่อการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะเพิ่มขึ้น ทำให้มีโอกาสสูญเสียแคลเซียมจากร่างกาย และผลจากฟอสเฟตสูงในน้ำอัดลม ทำให้ระดับแคลเซียมในร่างกายต่ำลง การดื่มน้ำอัดลมทำให้โอกาสของการดื่มนมและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ลดลง ส่งผลให้เป็นโรคกระดูกเปราะ กระดูกผุกร่อนได้ง่าย
6. ขาดสารอาหาร เด็กเล็ก ๆ ถ้าดื่มน้ำอัดลมมาก ๆ ในเวลาที่ใกล้จะถึงมื้ออาหารมื้อหลัก หรือในระหว่างรับประทานอาหารจะทำให้อิ่มและรับประทานอาหารมื้อหลักได้น้อย ได้สารอาหารไม่ครบตามหลักโภชนาการ อาจขาดสารอาหารได้
พิจารณาดูแล้วนอกจากรสชาติที่หลายคนชื่นชอบ ผลกระทบทางลบต่อสุขภาพดูจะเป็นข้อควรสอนให้เด็ก ๆ และผู้ปกครองได้รับรู้ และเป็นตัวแบบในการไม่สนับสนุนในการเพิ่มปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ ต่อลูก ๆ ของเรา

Great USA ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำอัดลมไว้ว่า คุณแม่ยังสาวคนหนึ่งเสียชีวิตเนื่องจากไตวาย ทั้งสองข้าง เธอได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลเพอร์ทามิน่าเป็นเวลาหนึ่งเดือน โดยได้รับอนุญาตให้กินได้แค่น้ำ 1 แก้วในหนึ่งวันเท่านั้น หมอให้การรักษาเธอแต่ดูเหมือนว่าจะสายไปเสียแล้ว เธอเล่าว่าเธอดื่มน้ำ อัดลมตอนทานอาหารกลางวันทุกวัน แต่แม้ว่าเธอจะดื่มน้ำอัดลมเพียงวันละ 1แก้ว มันก็สามารถทำลายอวัยวะภายในของเธอได้ ท้ายที่สุดเธอเสียชีวิตลง โดยทิ้งบุตรชายวัย 1 ขวบไว้ น่าสงสาร!
ภัยที่คาดไม่ถึงของน้ำอัดลม บทความนี้ไม่ใช่บทความเกี่ยวกับเรื่องการเมืองแต่เป็นเรื่องซึ่งน่าสนใจมาก สำหรับผู้ที่ชอบดื่มซึ่งคิดว่าคุณรู้เรื่องเกี่ยวกับน้ำอัดลมดีแล้ว น้ำอัดลมสามารถ
- ทำความสะอาดห้องน้ำโดยการรินลงในโถชักโครก ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงแล้วจึงกดชักโครก กรดซิติกในน้ำอัดลม จะขจัดคราบสกปรกได้อย่างดี
- ใช้กำจัดจุดสนิมบนกันชนรถโดยการขัดกันชนด้วยแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ ขยำเป็นชิ้นเล็ก ๆ และจุ่มน้ำอัดลม
- ใช้ทำความสะอาดรอยกัดกร่อนบนสายแบตเตอรี่รถ โดยการรินให้ทั่วสายแบต ฟองที่เกิดขึ้นจะช่วยขจัดรอยดังกล่าวได้
- ช่วยทำให้รอยสนิมบนม้วนผ้าจางลง โดยการจุ่มผ้าในน้ำอัดลมประมาณ 2-3 นาที
- ช่วยอบแฮมที่ชื้นได้ โดยการเทน้ำอัดลม 1 กระป๋องลงในกระทะ ซึ่งตั้งไฟไว้แล้วใส่แฮมที่ห่อด้วยอลูมิเนียมฟอยล์ลงไปแกะฟอยล์ออก 30 นาทีก่อนแฮมสุกและผสมแฮมกับน้ำอัดลมจะได้น้ำเกรวี่สีน้ำตาล
- ช่วยขจัดรอยฝังแน่นจากผ้าโดยการเทน้ำอัดลม 1 กระป๋องลงบนผ้าสกปรก เติมน้ำยาซักผ้าและซักตามปกติ จะช่วยทำให้คราบฝังแน่นจางลง และยังช่วยทำความสะอาดรอยน้ำ ซึ่งกระเด็นจากถนนบนกระจกรถได้อีกด้วย
ถ้าจะให้เลิกดื่มน้ำอัดลมซะทีเดียวมันก็เป็นเรื่องยาก แต่ถ้าจำเป็นต้องดื่มจริง ๆ ก็ควรจะดื่มให้น้อยลง ไม่ควรดื่มมากเกินไปผู้เขียนเห็นว่าน้ำอัดลมเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก และเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงว่ามันจะมีอันตรายต่อสุขภาพของคนเราเหมือนกัน

Kebab อาหารยอดนิยมของคนอังกฤษ
Kebab (เคบับ) เป็นอาหารสัญชาติตุรกี เป็นที่นิยมมากสำหรับคนอังกฤษ ในนอริช ที่เมืองนี้มี Shop Takeaway มากกว่า 40 Shops วิธีการทำของเค้าคล้ายๆ กับ BBQ ดีๆ นี่แหล่ะค่ะ แต่แตกต่างตรงที่รสชาติ และเค้ากินกับแป้งขนมปัง ที่เรียกว่า Pitta Bread แล้วก็มีซอสพริกราดอีกที ซอสพริกเค้ามีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ เป็นสไตล์ของเค้าเอง ในร้านก็จะมี Kebab, Burger และ Pizza เป็นหลักค่ะ หากินได้ทั่วเมืองเลยทีเดียว สำหรับ Kebab จะทำจากเนื้อแกะ และไก่ค่ะ แต่เนื้อแกะจะมีหลากหลายแบบให้เลือก เช่น Doner Kebab, shish Kebab, และ Kofte Kebab ที่เราชอบกินก็จะเป็น Doner Kebab และ shish Kebab มีบ้างบางครั้งก็กิน Burger แต่ Burger ที่นี่อันใหญ่มากๆ ค่ะ กินอันเดียวอิ่มเลย....อิอิ เรามีร้านประจำอยู่ ร้านนี้อร่อยที่สุดเลยค่ะ ไปกินบ่อยๆ เจ้าของร้านใจดี คุยเก่ง เป็นมิตร ไปกินทีไรไม่เคยผิดหวังเลยค่ะ ทำพิเศษให้ทุกที อิ่มไปทั่งวันเลย.....อิอิ Kebab จะมีเอกลักษณ์อย่างนึงที่ดูแปลกตาคือ Doner ลักษณะมันจะเป็นแท่งกลมๆ อันใหญ่ๆ แล้วเค้าจะย่างโดยวิธีการให้มันหมุน (เหมือนไก่หมุนบ้านเรา แต่ที่นี่หมุนเป็นแนวตั้ง) พอสุกได้ที่ เค้าก็จะใช้มีดยาวๆ สไลต์ เป็นแผ่นบางๆ แล้วจับใส่ Pitta Bread ราดซอสพริก และสลัด กลิ่นหอม หน้าตาน่ากินมาก
เป็นเรื่องแปลกอีกอย่างค่ะ เท่าที่เราสังเกตุ คนเอเชียจะไม่ค่อยชอบกินเนื้อแกะกัน เพราะเค้าบอกว่ากลิ่นแรงมาก แต่เรารู้สึกว่าเฉยๆ นะ กลับชอบด้วยซ้ำ ซื้อมาทำกับข้าวกินบ่อยๆ เพราะราคาพอๆ กับเนื้อหมู และเนื้อวัวเลยค่ะ บางครั้งมีโปรโมชั่นลดราคาก็จะถูกกว่าด้วยซ้ำ คนอังกฤษเค้าชอบเนื้อแกะมาก ไม่เห็นมีใครบอกว่าไม่อร่อย และติเรื่องกลิ่นเลย

ปัญหา Y2K คืออะไร
Y2K คืออะไร คำตอบสั้นๆคือคำย่อของ Year 2000 ซึ่งหมายถึงปี ค.ศ. 2000 โดย
Y ย่อมาจากคำว่า Year
K เป็นหน่วยในการวัดค่าต่างๆ ในระบบเมตริก มีค่าเท่ากับ 1000
2K จึงมีค่า 2x1000 เท่ากับ 2000
ดังนั้น Y2K ก็คือ Year 2000 นั่นเอง
ปัญหา Y2K คืออะไรกันแน่

ปัญหา Y2K คือปัญหาซึ่งจะเกิดขึ้นกับระบบคอมพิวเตอร์และเครื่องมือทุกชนิดที่มี ส่วนควบคุมเป็น Micro Chip ซึ่งมีการทำงานต่างๆขึ้นกับวันและเวลาในตัว Micro Chip ที่เราเรียกว่า Real Time Clock (RTC) หากอุปกรณ์ใดก็ตามที่ไม่ได้ใช้วันและเวลาในตัว Micro Chip ในการทำงานหรือใช้เฉพาะเวลาเพียงอย่างเดียวจะไม่ได้รับผลกระทบจาก ปัญหา Y2K เลย
ปัญหา ค.ศ. 2000 นอกจากจะเรียกว่า Y2K Bug แล้วยังมีชื่ออื่นอีก เช่น Millennium Bug เป็นต้น

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Happy Valentine Day


กุมภาพันธ์เป็นเดือนที่อบอวลไปด้วยความสุขการแสดงถึงความรัก ความห่วงใยถึงคนที่ เราปรารถนาดีและอยากให้เขามีความสุข และเป็นที่รับรู้กันทั่วโลกว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันแห่งความรักหรือ Valentine’s Day และวันนี้ยังมีคิวปิด หรือกามเทพ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของ วันวาเลนไทน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คิวปิดเป็นบุตรของวีนัสและมาร์ส แต่ ชาวกรีกเรียกคิวปิดว่า อีรอส ภาพของ คิวปิดที่มนุษย์โลกปัจจุบันได้รู้จักก็คือภาพเด็กน้อยที่ถือคันธนูและลูกศร มีหน้าที่ยิงศรรักให้ปักใจคน ปัจจุบัน คิวปิดและธนูของเขากลายมาเป็น เครื่องหมายแห่งความรักที่เป็นที่รู้จัก มากที่สุด และความรักของเขามีกล่าวถึงบ่อยในภาพของ การยิงศรรัก ระหว่าง หัวใจสองดวงให้รักกัน เรียกกันว่า ศรรักคิวปิด เราจึงมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยว กับประวัติความเป็นมาและความสำคัญ ของวันนี้กันค่ะ
เทศกาลวาเลนไทน์ เริ่มมีขึ้น ตั้งแต่ยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ในยุคนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถูกจัดให้เป็นวันหยุดเพื่อเป็นเกียรติแต่เทพเจ้าจูโนผู้เป็น จักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน นอกจาก นี้แล้วพระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่ง อิสตรีเพศและการแต่งงานและในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาล เฉลิมฉลองแห่งลูเพอร์คาร์เลีย การ ดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวจะ ถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ในรัชสมัยของ จักรพรรดิคลอดิอัส ที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่ง กรุงโรม พระองค์ ทรงเป็นกษัตริย์ที่มี ใจคอดุร้ายและทรงนิยม การ ทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วม ในกองทัพเนื่องจากไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโอง การสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและ แต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง และขณะนั้น มีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ ร่วมมือกับเซนต์มาริอัสจัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนา ดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับและระ หว่างนี้ก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เป็น ความเชื่อว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิง สาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับ สุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine” . วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูก เก็บไว้ที่โบสถ์ พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุม ศพของวาเลนตินัส แด่ผู้เป็น ที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทน แห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มา จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเบื้อง หลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะ เป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคง แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความ กล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมาย ของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจ เลยว่าในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลอง เทศกาลแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือก หญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
วาเลนไทน์ ในแต่ละประเทศจะมีประเพณีหรือการ ปฏิบัติที่แตกต่างกันบ้าง แต่โดยรวมแล้ว จะมีการเฉลิมฉลองและเป็นการแสดงถึง ความรักที่มีระหว่างกัน ต่อมาเมื่อความ เจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทางด้าน การพิมพ์เข้ามาเกี่ยวข้องมีการพิมพ์บัตร อวยพรโดยเข้ามาแทนที่จดหมายที่ เขียนด้วยลายมือ และปัจจุบันก็มีการส่ง บัตรอวยพรทางออนไลน์เพื่อแสดงถึงความ ก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วย ให้คนที่ต้องการแสดงความรักความห่วงใย ถึงคนที่รักได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ประวัติ วันวาเลนไทน์นี้ เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมา จนถึงปัจจุบัน เท่าที่ค้นหามาได้นี้เป็นเพียง หนึ่งในหลายๆเรื่องเท่านั้น แต่ไม่ว่าประวัติ ที่แท้จริง จะเป็นอย่างไรก็ตาม ใน ปัจจุบัน นี้เราได้ถือว่าวันวาเลนไทน์เป็น วันสำคัญวันหนึ่งในประวัติศาสตร์เลยที เดียว คุณสามารถส่งดอกไม้ ขนมและ การ์ด เพื่อบอกความนัยให้แก่คนพิเศษ ของคุณ วันนี้จะเป็นวันที่เราส่งความรู้สึก ดีๆให้แก่กัน...

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ซิกมันด์ ฟรอยด์
Sigmund Freud
ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) จิตแพทย์ชาวออสเตรีย เชื้อสายยิว เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2399 ในจักรวรรดิออสเตรียซึ่งปัจจุบันคือ สาธารณรัฐเช็ก และเสียชีวิตวันที่ 23 กันยายน พ.ศ.2482 รวมอายุ 83 ปี ครอบครัวมีอาชีพขายขนสัตว์ มีฐานะปานกลาง
ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) สนใจด้านวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเวียนนาสาขาวิทยาศาสตร์ แล้วเรียนต่อสาขาแพทยศาสตร์ จากนั้นได้ไปศึกษาต่อด้านโรคทางสมองและประสาทที่กรุงปารีสกับหมอผู้เชี่ยวชาญด้านอัมพาต ที่นั่นฟรอยด์ได้ค้นพบว่าความจริงแล้วคนไข้บางรายป่วยเป็นอัมพาตเนื่องจากภาวะทางจิตใจไม่ใช่ร่างกาย หลังจากกลับมาอยู่ที่กรุงเวียนนา ฟรอยด์จึงใช้วิธีการรักษาแบบจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) กับคนไข้ที่เป็นอัมพาต กล่าวคือให้ผู้ป่วยเล่าถึงความคับข้องใจหรือความหวาดกลัวและพยายามให้ผู้ป่วยเข้าใจเหตุการณ์นั้นๆ เพื่อลดความขัดแย้งในใจ ปรากฏว่ามีผู้ป่วยหลายรายหายจากอัมพาต
ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ได้ศึกษาวิเคราะห์จิตใจของมนุษย์ และอธิบายว่า จิตใจทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ มี 3 ลักษณะ คือ
1. จิตรู้สำนึก (Conscious mind) หมายถึง สภาวะจิตที่รู้ตัวอยู่ ได้แก่ การแสดพฤติกรรม เพื่อให้สอดคล้องกับหลักแห่งความเป็นจริง
2. จิตกึ่งสำนึก (Subconscious mind) หมายถึง สภาวะจิตที่ระลึกถึงได้ แต่มิได้แสดงออกเป็นพฤติกรรมในขณะนั้น เป็นส่วนที่รู้ตัวสามารถดึงออกมาใช้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
3. จิตใต้สำนึก (Unconscious mind) หมายถึง สภาวะจิตที่ไม่อยู่ในภาวะที่รู้ตัวระลึกถึงไม่ได้ เป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจ แต่มีอิทธิพลจูงใจพฤติกรรม และการดำเนินชีวิตของคนเรามากที่สุด
เขาอธิบายว่าจิตใต้สำนึกของคนเราแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ อิด (Id) อีโก้ (Ego) และ ซุปเปอร์อีโก้ (Superego) โดย อิดจะเป็นพลังอารมณ์ความรู้สึกที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด เช่น รัก โลภ โกรธ หลง หรือเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณดิบของคนเรานั่นเอง ซึ่งหากคนเรามีอิด เพียงอย่างเดียวก็จะไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจตัวเองได้ ในขณะที่ ซุปเปอร์อีโก้จะเป็นพลังงานที่เกิดจากการเรียนรู้ค่านิยมต่างๆ เช่น ความดี ความชั่ว มโนธรรม เป็นต้น ซึ่งเป็นพลังในส่วนดีของจิตมนุษย์ที่จะคอยหักล้างกับพลังอิด ทั้งนี้ในระหว่างความสุดขั้วของอิด และซุปเปอร์อีโก้นั้นจะมี อีโก้อยู่ระหว่างกลางคอยทำหน้าที่ควบคุมไม่ให้คนเราแสดงสัญชาตญาณดิบออกมามากเกินไป แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้คนเราแสดงออกซึ่งมโนธรรมเพียงอย่างเดียวเช่นกัน

คุกขี้ไก่ กับ ตึกแดง
เที่ยวเมืองจันท์ หรือจันทบุรีของผมคราวนี้ จะไปชมคุกในประวัติศาสตร์ที่ปากน้ำแหลมสิงห์ อำเภอแหลมสิงห์ อยู่ก่อนถึงท่าเรือประมาณ ๑ กม. "ชมคุกขี้ไก่" ก็อย่าลืมไปชมตึกแดงที่อยู่เกือบถึงท่าเรือแหลมสิงห์ ไปวนอุทยานแหลมสิงห์ ที่อยู่ไม่ไกลกัน แต่ก่อนที่จะไปเที่ยวดังกล่าว ผมขอย้อนเล่าเรื่องไปกินอาหารที่ "ศูนย์ของฝาก ฯ" เพราะได้เล่าว่าไปกินอาหารพื้นเมืองจันท์ที่ศูนย์นี้ไปแล้ว แต่ยังไม่ได้เล่าถึงของฝากจากเมืองจันท์ ซึ่งเป็นการแปรรูปผลไม้เมืองจันท์ ที่ให้ผลมากมายเกินกว่าที่จะขายเป็นผลไม้สดได้ทัน และบางชนิดก็ทำให้ออกผลได้ทั้งปีจึงต้องคิดนำมาแปรรูปอาหารเมืองจันท์หรือจันทบูร สำหรับกับข้าวของชาวจันท์จะหลากหลายไปด้วยผลิตจากผลจากป่า สวนและท้องทะเล เท่าที่ค้นหามาได้มี ๑๖ อย่างด้วยกัน และยังไม่พบว่าร้านอาหารร้านใดที่จะมีครบทั้ง ๑๖ อย่าง แต่ที่ศูนย์กุลนารถที่พาไปชิมมาแล้วก็นับว่ามีมากหรืออาจจะมีครบก็ได้ แต่คณะผมมีแค่ ๔ คน ไม่มีพุงจะใส่ได้หมด จึงสั่งเท่าที่เล่าให้ทราบไปแล้ว ๑๖ ชนิดอาหารคือ แมงกะพรุนดอง และน้ำจิ้มที่ทำเฉพาะจิ้มแมงกะพรุน แกงส้มเนื้อ และไข่ปลาเลียวเชียวใส่ลูกตลิงปลิง "แกงหมูชะมวง" แกงกระวานไก่บ้าน แกงบอน แกงเลียงผักชะอม หน่อไม้ต้มเก้อ แกงเนื้อใส่ยอดสับปะรด แกงขิงใส่เนื้อสับ ข้าวเกรียบอ่อนน้ำจิ้ม ก๋วยเตี๋ยวผัดปูเส้นจันท์ "น้ำพริกปูไข่" น้ำพริกกะปิ (ใส่ระกำ) แสร้งว่า ผักจิ้มน้ำพริก ที่มีทั้งผักทั่ว ๆ ไป เช่นแตงกวา มะเขือ ผักลวก ผักทอด (ชะอมชุบไข่ทอด) และพืชผักท้องถิ่นเช่นสาหร่าย หน่อแดง และลูกหย่อง อาหารเมืองจันท์ไม่เผ็ดจัด เผ็ดพออร่อย แกงเผ็ด แกงป่า จะมีกลิ่นของเครื่องเทศเพราะเครื่องแกงของเขาจะใส่ "เร่ว" ซึ่งเป็นพืชสกุลเดียวกับกระวาน เอาแต่เหง้าที่อยู่ใต้ดิน มีกลื่นหอมเฉพาะตัวมาตำใส่ในเครื่องแกงด้วย และเร่วจะเป็นเครื่องแกงสำคัญในการทำให้ก๋วยเตี๋ยวเนื้อเลียง หรือหมูเลียงมีกลิ่นหอมกรุ่น ต่างกับก๋วยเตี๋ยวทั่วไป ส่วนอาหารสดจากทะเลชาวจันทน์นำกุ้ง หอย ปู ปลาสด มาย่างจิ้มน้ำพริกเกลือ (พริกขี้หนู กระเทียมตำปรุงรสด้วยเกลือ และมะนาวรสจะจัดจ้าน) อาหารจันท์ที่ผมยกตัวอย่างมา ๑๖ อย่างนั้น เท่าที่ผมนับมา และหากินได้แล้ว ยังมีอีกมากชนิดอาหารอร่อยเฉพาะถิ่นก็มีเช่น ข้าวต้มท่าใหม่ เยื้องธนาคารออมสิน อ.ท่าใหม่ จะเป็นข้าวต้มเครื่องก็ไม่ใช่ ข้าวต้มกับก็ไม่เชิง เพราะเป็นข้าวต้มโรยหน้าด้วยไข่เจียวหั่นฝอย กุ้งแห้งป่น ผักกาดดอง ขึ้นฉ่ายปรุงรสด้วยกระเทียมเจียว พริกไทยป่น และน้ำปลา ขอจบเรื่องอาหารชาวจันท์ที่เคยชิมไว้แค่นี้
ศูนย์ของฝาก หากไปเที่ยวน้ำตกพลิ้วกลับมารขึ้นถนนสุขุมวิทหรือสาย ๓ เลี้ยวซ้ายไปจนถึง กม.๓๕๕ ก็เลี้ยวขวาเข้าร้าน กินอาหารเสียก่อน อย่าโดดข้ามไป ส่วนที่เป็นร้านอาหารอยู่ทางขวามือ ตรงกลางที่จอดรถคือส่วนที่เป็นศูนย์ของฝาก ได้ความว่าศูนย์ หรือร้านนี้ดั้งเดิมมีสวนผลไม้ประมาณ ๒๐ ไร่ ผลไม้ติดดอกออกผลมากจนขายสด ๆ ไม่ทัน จึงคิดแปรรูป ตอนนั้นคงจะมีทุเรียนทอดเกิดขึ้นแล้ว จึงคิดทำมังคุดพับ ทะเรียนพับ สละพับ การแปรรูปต้องใช้แรงงานคน เป็นฝีมือของท้องถิ่น ช่วนให้ชาวบ้านละแวกนั้น มีงานทำอีกด้วย เช่น ทุเรียนก็เอาที่เหลือจากการทำทุเรียนทอดมาป่น แล้วก็เอามาผสมแป้งสาลี น้ำตาล ไข่ไก่ กะทิ ทุเรียนหรือผลไม้อื่นที่ต้องการจะทำทองพับ สีจะสวย เป็นกลีบดอกไม้แล้วม้วนเป็นรูปกรวยพอคำ มังคุดเป็นสีม่วง โดยใช้เปลือกมังคุด ทุเรียนสีเหลืองอ่อนด้วยดอกดาวเรือง สละสีส้ม สวย มีกลิ่นหอม กรอบ หวาน มัน กินแล้วหยุดไม่ได้ จัดใส่กล่องน่ารัก ถามไถ่ว่ามีขายที่ไหนเขาบอกว่าส่งขายไปทั่ว และส่งให้เซเว่น อีเลฟเว่น ไปขายทั่วประเทศคงจะร่วม ๕๐๐ สาขา และส่งขายให้โลตัสด้วย มังคุดและสละก็ทำแบบเดียวกัน ร้านมีแต่ของอร่อย ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะเลยทีเดียว ทุเรียนพับ ทุเรียนกรอบ ทุเรียนกวน มังคุดกวน พายทุเรียน สินค้าพื้นเมือง ฯ ยังมีร้านกาแฟ ILLY ที่เป็นมุมสงบ นั่งซดกาแฟเย็นสบาย สั่งผลไม้พับมาเคี้ยวไปด้วย "กาแฟอิลลี่" ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในกาแฟแบรด์เนมที่ดังที่สุดในโลก
คุกขี้ไก่และตึกแดง สถานที่เหมือนเป็นสัญลักษณ์ของอำเภอแหลมสิงห์ ใครไปแหลมสิงห์ต้องไปชมให้ได้ ชมเพื่อย้อนอดีตด้วยว่า ครั้งหนึ่งทหารฝรั่งเศสบุกรุกอธิปไตยของไทย ด้วยการมายึดครองจันทบุรี เมื่อเกิดกรณีพิพาทกับไทยใน ร.ศ.๑๑๒ (พ.ศ.๒๔๓๖) แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ในครั้งนั้นหากแก้ปัญหาด้วยการใช้กำลังเข้าต่อสู้แล้ว ไทยก็คงมีสภาพเหมือนประเทศรอบบ้าน ที่ไม่มีประเทศไหนรักษาเอกราชเอาไว้ได้แม่แต่ชาติเดียว แต่พระปิยมหาราช ทรงยอมเสียแขนเสียขาเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้นั่นคือ การยอมเสียแผ่นดินที่เป็นของไทยมาก่อนเช่น ลาว เขมร เพื่อแลกเอาจันทบุรี ตราด กลับคืนมา
เส้นทางไปคุกขี้ไก่ และตึกแดง เมื่อออกจากอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว เลย กม.๓๔๗ มานิดเดียว จะมีถนนแยกขวาเข้าไปยัง อ.แหลมสิงห์ เลี้ยวขวาเข้าถนน ๓๑๔๗ ไปยัง อ.แหลมสิงห์ ระยะทาง ๑๖ กม. เมื่อเลี้ยวเข้ามาได้สัก ๕๐๐ เมตร ทางขวามือจะมีทางแยกเข้าสู่พุทธอุทยานวัดชากใหญ่ เดี๋ยวนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่ง ของการไปแหลมสิงห์ ควรแก่การเลี้ยวเข้าไปชม และนมัสการพระพุทธรูป ขอนำชมไว้ด้วย ภายในวัดร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย กุฎิพระสร้างอยู่ใต้ร่มไม้ มีวิหารธรรมพระอาจารย์มั่น วัดสร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๘ โดยพระอาจารย์มหาบัว ญานสัมปันโน ซึ่งท่านมาจำพรรษาที่บริเววณนี้ ศรัทธาได้ซื้อที่ดินถวาย ๒๙ ไร่เศษ ในขณะนั้นพื้นที่โดยรอบยังเป็นป่าดง สร้างเป็นที่พักสงฆ์ จน พ.ศ.๒๕๐๘ พระอาจารย์ธรรมรัต มาจำพรรษา มีศุภนิมิตว่าเทพมาบอกให้จำพรรษาตลอดไป ในอนาคตจะมีถาวรวัตถุเกิดขึ้น เสริมบารมี พระอาจารย์ฝั้นก็มาบอกทำนองเดียวกัน มีผู้ศรัทธาให้ทุนมาสร้างเป็นจำนวนมาก จึงมีการก่อสร้างมาอย่างต่อเนื่อง แม้ในปัจจุบันก็ยังก่อสร้างอยู่ จึงกลายเป็นพุทธอุทยานปทุมวิทยาญาณสัมปันโน สถานที่สวยมาก ไปชมแล้วจะได้ความรู้ ความเข้าใจ ในสาระของพระพุทธศาสนา มีพระพุทธรูปปางประทานพร นางสุชาดาถวายข้าวปายาส คชสารคู่บัลลังก์แห่งกรุงราชพฤกษ์ พระพุทธไสยาสน์ ประชุมพระอรหันต์ในวันมาฆะบูชา ภาพนี้ประทับใจมากเพราะจะปั้นพระพุทธองค์ เบื้องหน้าปั้นองค์พระอรหันต์นับเป็นร้อยองค์ นั่งชุมนุมกันอยู่ ทุกแห่งมีคำอธิบายโดยละเอียด และจะประทับใจตั้งแต่ผ่านเข้าประตูวัด ที่เป็นเหมือนประตูถ้ำ ชาวพุทธอย่าวิ่งรถผ่านไป คราวนี้ไปคุกขี้ไก่ จากวัดชากใหญ่ เลี้ยวขวาวิ่งไปจนผ่านทางแยกซ้ายไปเกาะเปริต และทางไปตัวอำเภอแหลมสิงห์ คุกขี้ไก่จะอยู่ทางขวามือ วิ่งรถช้า ๆ หน่อย เพราะต้นไม้ต้นโต ๆ อยู่ข้าง ๆ และตัวคุกอยู่ห่างจากถนนสัก ๒๐ เมตร คุกขี้ไก่สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๖ เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสลบเหลี่ยม ก่อด้วยอิฐ กว้าง ๔ เมตร สูง ๑๐ เมตร หลังคาเดิมเป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้อง พังไปหมดแล้ว แต่ตัวคุกยังอยู่ดี มีประตูเข้าออกหนึ่งช่อง ด้านบนเป็นช่องระบายลม ในอดีตเป็นป้อมที่มีน้ำล้อมรอบ ใช้เป็นป้อมปืน และตรวจการณ์ปากแม่น้ำจันทบุรี ที่อยู่ที่อำเภอนี้ ชาวบ้านเรียกว่า ป้อมฝรั่งเศส เพราะเมื่อฝรั่งเศสมายึดครอง ได้ใช้ป้อมนี้สำหรับกักขังนักโทษ ทั้งทหารญวน คนจีน คนในบังคับฝรั่งเศสรวมทั้งคนไทยด้วย ที่มนุษย์ไม่น่าทำคือ ขังคนไว้ตอนล่าง ส่วนตอนบนเลี้ยงไก่ เพื่อให้ไก่ถ่ายใส่นักโทษ คุกขี้ไก่เลิกใช้งานเมื่อทหารฝรั่งเศสถอนกำลังออกจากเมืองจันท์ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๗ ตึกแดง เป็นอาคารชั้นเดียว อยู่เลยคุกขี้ไก่เข้าไปจนเกือบถึงท่าเรือ อยู่ทางฝั่งซ้ายของถนน ๓๑๔๗ เป็นอาคารชั้นเดียว สร้างด้วยอิฐถือปูน กว้าง ๗ ม. ยาว ๓๒ ม. ทาสีแดงชาด ภายในแบ่งเป็น ๕ ห้อง มีประตูเปิดถึงกันหมด สร้างขึ้นในบริเวณที่เป็นป้อมพิฆาตข้าศึก ซึ่งเป็นป้อมเก่าแก่ สร้างมาตั้งแต่แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ รัชกาลที่ ๓ ได้โปรด ฯ ให้บูรณะเพื่อรับศึกญวน ฝรั่งเศสได้รื้อเอาอิฐจากป้อมมาสร้างตึกแดง เป็นที่พักของนายทหาร ตึกแดงได้รับการบูรณะ เมื่อปี

พ.ศ.๒๕๒๗ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ โอเอวิส ซีเวิลด์ จัดให้ชมการแสดงของปลาโลมาเป็นแห่งแรกในเมืองไทย ไปคราวนี้ไม่ได้เข้าไปชม แต่เคยชมมาแล้ว ๒ - ๓ ครั้ง ไปตามถนน ๓๑๔๗ แยกขวาผ่านที่ว่าการอำเภอ มีป้ายบอกนำทาง ไปดูปลาโลมาแสนรู้ กระโดดขึ้นมาเหนือน้ำให้ชมไปคราวนี้ผมพักที่โรงแรมที่น่าจะดีที่สุดของจันทบุรี เส้นทางผ่านสี่แยกเขาไร่ยามาแล้ว ตรงมาถึงสามแยกมะขาม เลี้ยวขวามาตามถนนสุขุมวิท ก่อนถึงปั๊มเชลล์มณีจันท์จะอยู่ทางขวามือ สถานที่กว้างขวาง ตกแต่งสวยงามมาก โรงแรมหรูสไตล์รีสอร์ท ห้องพักสวย กว้างขวาง สะดวกสบายมาก ราคาพอสมควร มีสระว่ายน้ำ ฟิตเนส แอโรบิค ห้องอบไอน้ำ บริการนวดแบบไทย ห้องอาหารกว้างขวาง บรรยากาศดี อาหารเช้าแถมฟรี และมีไม่เหมือนใครที่แตกต่างจากโรงแรมอื่นคือ มีไก่เบตง ซี่โครงหมูต้มหน่อไม้จีน เยื่อไผ่น้ำแดง ต้มเลือดหมู เขาบอกว่าห้องอาหารนี้มีอาหารพื้นเมืองจันท์ด้วย เย็นวันแรกที่เข้าพักเลยไม่ได้ออกไปหากินที่ไหน กินที่ห้องอาหารของโรงแรม อาหารอร่อยไม่ผิดหวัง ลองสั่งมาชิม ไก่บ้านต้มกระวาน กลิ่นหอม ซดร้อน ๆ วิเศษนัก หากินได้แต่ที่จันทบุรี น้ำพริกไข่ปู เสียดายที่เมื่อก่อนมีร้านคุณแดง ตรงข้ามโรงแรมแกรนด์ ไปวันนี้ร้านคุณแดงกำลังรื้อคงจะเปลี่ยนกิจการ ทายาทคุณแดงเลิกทำร้านอาหาร เสียดายเพราะน้ำพริกไข่ปูไม่มีใครสู้ แต่ชิมมื้อนี้ได้ตัวแทนแล้วที่ห้องอาหารนี้เอง กุ้งนึ่งซีอิ้วกระเทียม เพิ่มความอร่อยด้วยการมีน้ำขลุกขลิกปลาเก๋าลวก เนื้อปลาสดมาก จานนี้ราคา ๒๐๐ บาท ขาห่านอบบะหมี่, ส้มตำปูดอง ไม่ใช่อาหารพื้นบ้านแต่อยากชิม