วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิตามินซี ช่วยป้องกัน มะเร็ง กระเพาะอาหาร

มะเร็งกระเพาะอาหาร คือมะเร็งที่พบบ่อยเป็นอันดับ 4 ของมะเร็งทั้งหมด และเป็นมะเร็งที่เป็นสาเหตุการตายอันดับสอง ของมะเร็งที่พบทั่วโลก การวิจัยจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐฯ และสถาบันสาธารณสุขแห่งชาติของประเทศฟินแลนด์ ประเมินความสัมพันธ์ระหว่าง การรับประทานผักและผลไม้ กับความเสี่ยงเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ของผู้ชายที่สูบบุหรี่จำนวน 29,000 คน ที่มีอายุตั้งแต่ 50-69 ปี พบว่าการกินผลไม้และวิตามินซีนั้น ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งที่ว่าได้ถึง 45% และผลการศึกษาอื่นๆได้แสดงให้เห็นว่า คนที่เป็นมะเร็งนั้นมีปริมาณวิตามินซีในเลือดต่ำ และพบว่าอาหารที่มีรสชาติเค็มนั้นจะมีวิตามินซีน้อย และทำให้เสี่ยงเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าด้วย แถม สารประกอบไลโคพีนที่มีอยู่ในผลไม้ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยและลดความเสี่ยง ในการเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร 34%

กินนม เป็นสาเหตุหนึ่ง ทำให้เกิดสิว

กล่าวบอกแนะนำเด็กหนุ่มสาวทั้งหลายที่สิวขึ้นใบหน้าว่า ให้ลดปริมาณการดื่มนมให้น้อยลง ก่อนหน้านี้เคยมีการศึกษาพบว่า ถ้าอยากจะห่างสิวควรจะเลิกกินมันฝรั่งทอดกรอบและช็อกโกแลต แต่ในการศึกษาใหม่นี้ได้แสดงว่า
  • วัยรุ่นที่ดื่มนมประจำวันละไม่น้อยกว่า 476 ซีซี ล้วนแต่พากันเป็นสิวกันตั้งครึ่ง เมื่อเทียบกับเพื่อน คนที่ดื่มน้อยกว่าหรือไม่ดื่มเลย คณะนักวิจัยได้ศึกษาอาหารการกินของผู้หญิงสหรัฐฯไม่น้อยกว่า 47,000 คน
  • โดยเฉพาะวัดปริมาณของนมที่ดื่มเป็นประจำวันของผู้ที่เป็นสิว ผลการวิเคราะห์แสดงให้เห็นถึงว่า
  • นมมีความเกี่ยว พันกับการเป็นสิวอย่างชัดเจน รายงานผลการศึกษา ซึ่งเสนอในวารสารวิชาการ “แพทย์โรคผิวหนัง” แห่งอเมริกัน ยังได้กล่าวว่า ฮอร์โมนการเจริญเติบโต และฮอร์โมนเพศในน้ำนมวัว อาจจะเป็นเครื่องกระตุ้นให้เกิดสิว

ใครที่ยังไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นสิว เพราะอะไร ลองลดปริมาณการดื่มนมดูน

ฝนดาวตก 2552 พฤศจิกายน ชวนดู ฝนดาวตกสิงโต ฝนดาวตกลีโอนิดส์

ฝนดาวตก 2552 เนื่องจากวันที่17/18พฤศจิกายน2552นี้จะเกิดฝนดาวตกสิงโตหรือเรียกอีกอย่างว่าฝนดาวตกลีโอนิดส์ นักดาราศาสตร์ เผยปีนี้มีลุ้นได้ชมฝนดาวตกสิงโตมากเป็นพิเศษ เหตุเพราะโลกเข้าสู่ธารสะเก็ดดาว ระบุเช้ามืดวันที่ 18 พ.ย. มีอัตราการตกสูงสุด200ดวงต่อชั่วโมง ไทยดูได้ทั่วประเทศ …

ฝนดาวตก 2552

ฝนดาวตก 2552


ฝนดาวตก 2552

ฝนดาวตก 2552
นดาวตก 2552 ฝนดาวตกลีโอนิดส์

เมื่อวันที่ 8 พ.ย. น.ส.ประพีร์ วิราพร นายกสมาคมดาราศาสตร์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปรากฏการณ์ฝนดาวตกสิงโต หรือฝนดาวตกลีโอนิดส์ (Leonids) ในปีนี้ อาจได้รับความสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากนักดาราศาสตร์คำนวณพบว่า อัตราการเกิดดาวตกอาจสูงกว่าปกติ

โดยเฉพาะในช่วงตี 4 ถึง ตี 5 ครึ่งของเช้ามืดวันที่ 18 พ.ย. 2552 อาจได้เห็นถึงชั่วโมงละ 200 ดวง โดยเป็นจำนวนที่มากรองจากเมื่อปี พ.ศ.2544 ซึ่งเป็นปีที่มีความฮือฮามากมีถึง 1,000 ดวงต่อชั่วโมง

นายกสมาคมดาราศาสตร์ฯ กล่าวอีกว่า ฝนดาวตกเกิดขึ้นเมื่อโลกเดินทางฝ่าเข้าไปในบริเวณที่มีสะเก็ดดาวซึ่งเป็นเศษ ชิ้นเล็กๆ ที่หลุดมาจากดาวหางและทิ้งไว้ตามทางโคจร โดยเรียกแนวของสะเก็ดดาวเหล่านี้ว่า ธารสะเก็ดดาว สำหรับฝนดาวตกสิงโต เกิดจากดาวหางเทมเพล-ทัลเทิล ซึ่งมีธารสะเก็ดดาวอยู่หลายสาย โดยปีนี้คาดว่าจะเห็นฝนดาวตกสิงโตในอัตราที่มาก เพราะโลกจะเข้าไปใกล้ธารสะเก็ดดาวในอดีต 2 สายธาร คือ ช่วงปี ค.ศ.1466 และ ค.ศ.1533 ซึ่งฝนดาวตกสิงโต จะเริ่มขึ้นประมาณวันที่ 10 พ.ย.นี้ แต่มีอัตราฝนดาวตกค่อนข้างต่ำ และจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จนสูงที่สุดประมาณวันที่ 17-19 พ.ย.นี้ และสิ้นสุดลงในวันที่ 21 พ.ย.นี้

สำหรับช่วงที่มีดาวตกถี่มากที่สุดนั้น น.ส.ประพีร์ กล่าวอีกว่า ในประเทศไทย สามารถมองเห็นได้ทั่วประเทศ แต่มีเงื่อนไขคือ ท้องฟ้าจะต้องใส เห็นดวงดาวชัดเจน

ปีนี้ฝนดาวตกสิงโต เกิดในช่วงคืนเดือนมืด โอกาสเห็นก็จะมีสูงขึ้น วิธีดูที่ดีที่สุดคือ การนอนหงายมองไปที่กลางฟ้าเหนือศีรษะ ดาวตกจะพุ่งมากจากทุกทิศทาง จึงควรกวาดตามองให้ทั่วฟ้า ฝนดาวตกจะมีลักษณะแสงสว่างวาบเคลื่อนที่ผ่านอย่างรวดเร็ว มีสีสันสวยงาม เช่น สีน้ำเงินเขียว สีส้มเหลือง เพราะมีแร่ธาตุประกอบต่างๆกัน เช่น แมกเนเซียม ทองแดง เหล็ก จึงให้สีที่แตกต่างกัน ปลายของดาวตกซึ่งเกิดจากการเผาไหม้ จะทิ้งควันจางๆ เหมือนไอพ่น หากอยู่ในที่เงียบสงบ บางครั้งอาจได้ยินเสียงด้วย เรียกว่า โซนิกบูม และหากเป็นดาวตกขนาดใหญ่เมื่อเสียดสีกับบรรยากาศจะเห็นเป็นลูกไฟ การเกิดปรากฏการณ์ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องความเชื่อหรือโหราศาสตร์

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ว่านกิมเจ็ง


ว่าน กิมเจ็ง
กิมเจ็ง ยาดีมีหัวขาย

คนไทยส่วนใหญ่รู้จัก “กิมเจ็ง” น้อยมาก แต่ถ้าเป็นชาวจีน หรือชาวไทยเชื้อสายจีนรุ่นเก่าๆ จะคุ้นเคยและรู้จัก “กิมเจ็ง” เป็นอย่างดี เนื่องจากหัวของ “กิมเจ็ง” มีคุณค่าและมีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลังชั้นดี โดย ชาวจีนนิยมเอาหัวแบบสดๆของ “กิมเจ็ง” กะจำนวนพอประมาณต้มกับหมูเนื้อแดง หรือกระดูกหมูจำนวนเล็กน้อย ปรุงแต่งรสชาติอ่อนๆ คล้ายน้ำชุปใสรับประทานได้ทั้งเนื้อและน้ำวันละครั้ง ครั้งละ 1 ถ้วย จะช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง หายอ่อนเพลีย เป็นยาโป๊ดีนัก

ส่วน ตำรายาแผนไทยเรียก “กิมเจ็ง” ว่า “ว่านกิมเจ็ง” หรือ “ต้นอีนูน” มี สรรพคุณทางเภสัชใช้เป็นยาเย็น แก้ร้อนในกระหายน้ำ และเจ็บในลำคอ โดยเอาหัวสดกะจำนวนพอประมาณต้มกับน้ำสะอาดจำนวน 3 แก้ว จนเดือดเคี่ยวเหลือ 1 แก้ว ดื่มขณะอุ่นวันละครั้ง ต้มกิน 1-2 วัน อาการที่กล่าวข้างต้นจะดีขึ้นและหายได้

กิมเจ็ง เป็นไม้เถาเลื้อยพาดพันต้นไม้อื่น มีหัวใต้ดินขนาดใหญ่ เนื้อหัวฉ่ำน้ำเล็กน้อยสีขาวนวล มีกลิ่นหอมเฉพาะตัว ลักษณะหัวคล้ายมันแกว หรือหัวของต้น “สบู่เลือด” ผิวหัวด้านนอกจะนวลกว่าเล็กน้อย ต้นหรือเถาสามารถเลื้อยได้ไกลกว่า 10 เมตร ที่พบตามธรรมชาติในป่าลึก ต้นหรือเถาจะอ้วนใหญ่มาก ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ เป็นรูปกลมรี คล้ายใบตำลึง แต่ใบของ “กิมเจ็ง” จะมีจำนวนแฉกมากกว่า และใบที่อยู่ส่วนปลายจะยาวและแหลมกว่าชัดเจน

ดอก ออกเป็นช่อหรือเป็นพวงตามซอกใบ แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยขนาดเล็กสีขาวจำนวนมาก เวลามีดอกจะห้อยลงเป็นระย้าน่าชมมาก “ผล” เป็นรูปทรงกลม มีหลายขนาดตั้งแต่เล็กจิ๋วไปจนถึงผลโตเท่าไข่ไก่ ดอกออกได้เรื่อยๆ ขยายพันธุ์ด้วยหัว หรือเมล็ด พบขึ้นตามป่าธรรมชาติทุกภาคของประเทศไทย สมัยก่อนนิยมปลูกติดรั้วบ้านให้ต้นหรือเถาไต่ เพื่อเอาหัวใช้ทำยาตามที่กล่าวข้างต้น

ปัจจุบัน นักเลงไม้หัวชอบเอา “กิมเจ็ง” ไปปลูกเป็นไม้ประดับโชว์ความงามและแปลกของหัวที่มีขนาดใหญ่ โดยปลูกลงกระถางทำโครงให้ต้นหรือเถาไต่ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ซึ่ง “กิม-เจ็ง” มีหัวขาย ที่ตลาดนัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 3 แผง “เจ๊ติ๋ม”

วันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วันลอยกระทง

วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา "มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป

ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาพระแม่คงคาด้วย

ประวัติ

พลุเฉลิมฉลองในเทศกาลวันลอยกระทงริมแม่น้ำเจ้าพระยา

เดิมเชื่อกันว่าประเพณีลอยกระทงเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยมีนางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่าพิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ 3

ปัจจุบันวันลอยกระทงเป็นเทศกาลที่สำคัญของไทย ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาเที่ยวปีละมากๆ ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวมักจะเป็นช่วงต้นฤดูหนาว และมีอากาศดี

ในวันลอยกระทง ยังนิยมจัดประกวดนางงาม เรียกว่า "นางนพมาศ"

วันลอยกระทงในปฏิทินสุริยคติ

ปี วันที่ วันที่ วันที่
ปีชวด 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 31 ตุลาคม พ.ศ. 2563
ปีฉลู 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564
ปีขาล 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565
ปีเถาะ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566
ปีมะโรง 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567
ปีมะเส็ง 31 ตุลาคม พ.ศ. 2544 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568
ปีมะเมีย 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2545 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 ???
ปีมะแม 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 ???
ปีวอก 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ???
ปีระกา 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2548 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 ???
ปีจอ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561 ???
ปีกุน 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ???

ประเพณีในแต่ละท้องถิ่น

นอกจากนี้ในแต่ละท้องถิ่นยังอาจมีประเพณีลอยกระทงที่แตกต่างกันไป และสืบทอดต่อกันเรื่อยมา

ความเชื่อเกี่ยวกับวันลอยกระทง

Loi krathong rafts.jpg

  • เป็นการขอขมาพระแม่คงคา ที่มนุษย์ได้ใช้น้ำ ได้ดื่มกินน้ำ รวมไปถึงการทิ้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ ลงในแม่น้ำ
  • เป็นการสักการะรอยพระพุทธบาท ที่พระพุทธเจ้าทรงได้ประทับรอยพระบาทไว้หาดทรายแม่น้ำนัมมทานที ในประเทศอินเดีย
  • เป็นการลอยความทุกข์ ความโศกรวมถึงโรคภัยต่างๆ ให้ลอยไปกับแม่น้ำ
  • ชาวไทยในภาคเหนือมีความเชื่อว่า การลอยกระทงเป็นการบูชาพระอุปคุต ตามตำนานเล่าว่า พระอุปคุตทรงสามารถปราบพญามารได้