วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2552

(Merry Christmas)

วันคริสต์มาส (Merry Christmas)
25 ธันวาคม
ของทุกปี

ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลที่สำคัญเทศกาลหนึ่งของชาวคริสต์ เทศกาลสำคัญที่ว่านี้คือ เทศกาลคริสต์มาส ซึ่งเป็นเทศกาลฉลองการประสูติของพระคริสต์เทศกาลคริสต์มาสจะจัดขึ้นในวันที่ 24 และ 25 ธันวาคมของทุกปี ในบางประเทศคริสต์มาสอาจจะเริ่มก่อนหน้านั้นประมาณหนึ่งเดือน ช่วงเวลานี้เรียกว่า "แอดเวนท์" (มาจากภาษาลาติน แปลว่า "กำลังมา") และจะสิ้นสุดลงในวันที่ 6 มกราคมซึ่งเป็นวันที่นักปราชญ์สามคนที่มาจากทิศตะวันออกนำของขวัญมามอบแก่ พระกุมารเยชู ด้วยเหตุนี้ในคืนวันที่ 6 มกราคม จึงเป็นคืนแห่งการมอบของขวัญในหลาย ๆ แห่งของโลก
และเมื่อวันคริสต์มาสอันเป็นวัดสุดยอดของเทศกาลมาถึง การเฉลิมฉลองก็จะเริ่มขึ้น ในช่วงเทศกาลนี้บ้านเรือนจะถูกตกแต่งให้สดใสอบอุ่นด้วยต้นคริสต์มาสที่ ประดับประดาเอาไว้อย่างสวยงาม ที่ใต้ต้นคริสต์มาสจะมีของขวัญวางเรียงไว้มากมาย ประตูบ้านและขอบเตาผิงจะถูกตกแต่งด้วยหรีดกิ่งสนและฮอลลีในเดนมาร์กมีการประ ดับกิ่งเบริร์ชด้วยผลแอปเปิ้ลสีแดงผลเล็ก ๆ และคนแคระตังจิ๋วที่เรียกว่า "พิสเชอร์" ในนอรเวและสวีเดนมีการทำสัตว์ตัวเล็ก ๆ จากฟางแล้วผูกด้วยริบบิ้นสีแดง
เมื่อพูดถึงอาหารในวันคริสต์มาสจะมีอาหารพิเศษมากมายทั้งไก่งวงที่แสนอร่อย เนื้ออบก้อนโตซอสแครนเบอร์รรี ขนมพาย พุดดิง เค้กและคุกกี้เป็นร้อย ๆชนิด ที่ฝรั่งเศษมีการทำเค้กพิเศษเป็นรูปขอนไม้รสชาติเข้มข้นที่เรียกว่า บุช เดอ โนแอล (ขอยไม้คริสต์มาส)และหลังจากอาหารค่ำที่แสนวิเศษผ่านไปนาทีอันน่าระทึกใจก็ มาถึงนั่นก็คือการแกะของขวัญนั่นเอง คริสต์มาสเป็นเทศกาลแห่งความสุขที่มีเรื่องให้พูดถึงไม่รู้เบื่อ สำหรับใครก็ตามที่กำลังจะฉลองเทศกาลนี้ก็ขอให้มีความสุขมาก ๆ

วันคริสต์มาส

ทุกวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี จะมีการฉลองรื่นเริงในหมู่คริสต์ศาสนิกชนทั่วโลก กิจกรรมในวันนี้มีแต่สิ่งที่น่ารื่นรมย์ไม่ว่าจะเป็นการกินเลี้ยง แลกของขวัญ แต่งบ้านด้วยต้นคริสต์มาส ร้องเพลงคริสต์มาส ไปจนถึงเอาถุงเท้าไปแขวนรอซันตาคลอสผู้อารีย์นำของขวัญมาใส่ไว้ให้
วันคริสต์มาสมีความสำคัญคือ เป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาของศาสนาคริสต์ พระเยซูเป็นชาวยิว ประสูติในประเทศปาเลสไตน์ ซึ่งเดิมตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศใกล้เคียงมาเป็นเวลาช้านาน มีนักปราชญืชาวยิวหลายท่านพยากรณ์ว่า วันหนึ่งข้างหน้าจะมีพระบุตรของพระเจ้าเสด็จลงมาปลดแอกชาวยิวให้ได้รับอิสระ ภาพในที่สุดวันนั้นก็มาถึง เมื่อพระเยซูประสูติที่หมู่บ้านเบธเลเฮม แคว้นยูดา มารดาของพระองค์ชื่อมาเรีย (ซึ่งเรารู้จักในนามแม่พระ) บิดาชื่อโยเซฟมีอาชีพเป็นช่างไม้
พระเยซูทรงพระปรีชาสามารถมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์สามารถโต้ตอบกับพระชาวยิว ในด้านศาสนาได้อย่างฉะฉาน ชีวิตในตอนต้นของพระองค์ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายทรงมีอาชีพเป็นช่างไม้ช่วย บิดา จนพระชนมายุราว 30 พรรษา จึงเสด็จออกประกาศคำสอนและทรงรักษาคนป่วยประเภทต่าง ๆเช่น คนตาบอด ง่อยเปลี้ย ให้กลับเป็นปกติดังเดิม
ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลกเช่นเดียวกับศาสนาอิสลามและศาสนาพุทธ

ต้นคริสต์มาส
ในสมัยโบราณ "ต้นคริสต์มาส" หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบ ผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า (ปฐก.3:1-6) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่ หน้าวัด ถึงความหมายของคริสต์มาส และเอาต้นไม้ต้นหนึ่งไว้ตรงกลาง เพื่อประดับฉาก แสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวา ต้นไม้ที่ใช้เป็นต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ ที่หาง่ายที่สุด ในประเทศ เหล่านั้น การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้น กลายเป็นการเล่นเหมือนลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนา ซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดาย ที่ไม่มีโอกาส ดูละครสนุกๆ แบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการแขวนลูกแอปเปิ้ล ขนมและของขวัญอย่างที่เห็นอยู่ ทุกวันนี้ .....นอกจากนั้น ชาวเยอรมันยังมีประเพณีอีกอย่างหนึ่งคือ มีการจุดเทียนหลายเล่มเป็นรูปปิรามิด ไว้ตลอดคืนคริสต์มาส โดยมีดาวของดาวิดที่ยอดปิรามิด ซึ่งประเพณีที่จะแขวนของขวัญและขนม ก็ได้รวมกับประเพณีของชาวเยอรมันนี้ มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 โดยเอาเทียนมาไว้ที่ต้นไม้ เป็นรูปทรงปิรามิด นี่เป็นที่มาของประเพณีปัจจุบัน ที่มีการแขวนของขวัญ และไฟกระพริบไว้ที่ต้นคริสต์มาส และมีดาวของดาวิดไว้ที่สุดยอด ประเพณีนี้ เป็นที่นิยมชมชอบของชาวตะวันตกอยู่มาก แม้ว่าประเพณีการตั้งต้นคริสต์มาส มีความเป็นมาดังกล่าว ชาวคริสต์ในสมัยนี้ ก็ยังนิยมทำกันอยู่ เพราะเห็นว่า มีความหมายถึงพระเยซูเจ้า ผู้เปรียบเสมือนต้นไม้แห่งชีวิต ที่เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล ซึ่งหมายถึง นิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า และนอกจากนั้นยังหมายถึง ความสว่างของพระองค์ เสมือนแสงเทียนที่ส่องในความมืด ทั้งยังหมายถึง ความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูเจ้าประทานให้ เพราะต้นไม้นั้น เป็นจุดรวมของครอบครัวในเทศกาลนั้น

ซานตาคลอส

ซานตาคลอสที่เรารู้จักตคุ้นเคยและเห็นภาพดังที่พรรณนามาตั้งแต่ตอนต้น เพิ่งมีกำเนิดขึ้นมาเมื่อไม่เกิน 200 ปีนี้เอง กลุ่มชนที่สร้างเรื่องราวของวันซาคลอส จนกลายเป็นตำนานสำคัญส่วนหนึ่งของเทศกาลคริสต์มาส คือ ชาวอเมริกันเชื้อสายดัตช์รุ่นบุกเบิกนั่นเอง
ตำนานเล่าขานเกี่ยวกับซานตาคลอสเริ่มขึ้นในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 4 มีเด็กชายคนหนึ่งเกิดในหมู่บ้านไมรา ซึ่งสมัยก่อนโน้น ตั้งอยู่ระหว่างเกาะโรดส์กับไซปรัส แต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นหมู่บ้านเดมรี มีบ้านเรือนตั้งเรียงรายบนสันทรายใกล้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
เด็กชายผู้เกิดในหมู่บ้านเล็ก ๆ มีชื่อว่า "นิโคลัส" ชีวิตของเขาอยู่บนกองเงินกองทองเพราะพ่อแม่มีฐานะร่ำรวย ไม่ช้าไม่นานพ่อแม่ก็ถึงแก่กรรม ทรัพย์สินจึงตกเป็นของเขาเพียงผู้เดียว แต่น่าแปลกที่นิโคลัสกลับมีใจโอบอ้อมอารีต่อคนยากคนจน ชอบแจกสมบัติช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากจนกลายเป็นขวัญใจของคนทุกเพศทุกวัย
ครั้งนั้นก้อยังมีครอบครัวของชายชราคนจนครอบครัวหนึ่ง กำลังมีปัญหาด้วยบุตรสาวทั้งสามต้องการแต่งงาน แต่ไม่มีเงินจัดพิธีให้สมเกียรติก่อนคนสุดท้อง ครอบครัวนี้จึงตกอยู่ในความทุกข์อย่างหนัก
แต่เมื่อนิโคลัสทราบข่าว จึงนำทองคำใส่ถุง 2 ถุง แอบย่องเข่าไปวางไว้ในบ้านของชายยากจนยามดึกสงัด ทำให้ 2 สาวได้จัดพิธีแต่งงานได้อย่างใหญ่โตสมความปรารถนา ต่อมาก็ถึงเวลาของบุตรสาวคนสุดท้องนิโคลัสก็นำถุงทองแอบมาหย่อนลงทางปล่องไฟ ในยามราตรี เหตุที่ต้องใช้ปล่องไฟเพราะคืนนั้นหน้าต่างปิดสนิท
จากพฤติกรรมของนิโคลัสเป็นต้นเหตุให้พ่อแม่เด็ก ๆ ในสมัยต่อมา แอบนำของขวัญวางไว้ที่เตียงนอนของลูก ๆ ในตอนกลางคืน แล้วบอกว่า ซันตาคลอสนำของขวัญมามอบให้กลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบที่ยกย่องซันตาคลอสให้ ฝังอยู่ในจิตสำนึกของเด็ก ๆ สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันและนี่ก็คือ ตำนานความเป็นมาของ กำเนิดซานตาคลอส " บิดาแห่งวันคริสต์มาส "นั่นเอง
เมื่อชาวดัตช์บางกลุ่มอพยพมาอยู่ในอเมริกาก็นำเอาความเชื่อถือศรัทธาในนัก บุญนิโคลัสติดมาด้วย ยังมีการเฉลิมฉลองวันเซนต์นิโคลัสกันทุก ๆ ปี ในเดือนธันวาคม และในที่สุดก็ได้มีการดัดแปลงผสมผสานเข้ากับความเชื่อถือของชาวอเมริกัน เชื้อสายอื่น ๆ ทางแถบตะวันออกของอเมริกาตำนานเซนต์โคลัสก็เลยมาผูกโยงกับการเฉลิมฉลอง เทศกาลคริสต์มาส "ซินเตอร์คลาส" ของชาวดัตช์ซึ่งต่อมาได้กร่อนกลายเป็น "ซานตาคลอส" ก็มีบทบาทและหน้าที่สำคัญ คือ แจกของขวัญแก่เด็ก ๆ ในตอนเช้าตรู่ของทุกวันคริสต์มาสดังที่รู้ ๆ กันอยู่
ทั้งนี้ ภาพซานตาคลอส ภาพแรกที่ปรากฏเป็นชายแก่ใจดี เคราขาวพุงพลุ้ย ใส่เฟอร์โค้ทตัวหนาสีแดงขลิบขาว หอบข้าวของพุรุงพะรังเช่นที่เราคุ้นเคยกันนั้น เป็นฝีมือการวาดจากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ผสมผสานกับจินตนาการส่วนตัวของนัก เขียนการ์ตูนชื่อดังชาวอเมริกัน ที่ชื่อว่า "โธมัส แนสท์" ภาพแรกของซานตาคลอสนี้ปรากฏเป็นครั้งแรกในนิตยสาร harper's illustrated weekly ปี พ.ศ.1863
ต่อมาเรื่องราวของซานตาคลอสก็แพร่กระจายไปสู่คริสต์ศาสนิกชนประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก จนกระทั่งหลาย ๆ ประเทศสามารถสร้างตำนานที่มีรายละเอียดแบบเอ็กซ์ลูซีฟเกี่ยวกับซันตาคลอส เป็นของตนเอง เช่น ซานตาคลอสประเทศฟินแลนด์ที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุด ซานตาคลอสมีบ้านและออฟฟิศอยู่ที่เมืองโรวานีมี เป็นเมืองท่องเที่ยวเป็นที่รู้จักกันดี อยู่ในเขตแลปแลนด์ แคว้นหนึ่งของประเทศฟินแลนด์
แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าซานตาคลอสจะอยู่ที่ไหน จะเป็นของชาติใด แก่นแท้ หรือสปิริตของความเป็นซานตาคอลสก็คือ ความรัก ความเมตตา กรุณา และความสดใสร่าเริง ซึ่งเป็นของสากลสำหรับมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาและทั่วทุกหนทุกแห่ง


เพลงคริสต์มาส

เริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 ซึ่งในสมัยนั้น มีทั้งพระสงฆ์และฆราวาสเป็นผู้แต่ง ร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมา ของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีวิวัฒนาการใหม่ในด้านเพลงนี้ เริ่มในประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้มีส่วนในการสนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่ ซึ่งชาวบ้านชอบ คือมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดี ในโอกาสคริสต์มาสนี้ เพลงเหล่านี้เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ

  • เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles
    ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาส ที่เรานิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่
  • เพลง Silent Night, Holy Night
    ความเป็นมาของเพลงนี้คือ วันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวันเสีย ทำให้วงขับร้อง ไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ คุณพ่อเองตั้งใจ จะแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ หลังจากแต่งเสร็จ ก็เอาไปให้เพื่อนคนหนึ่งชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ ที่อยู่หมู่บ้านใกล้เคียงใส่ทำนอง ในคืนวันที่ 24 นั้นเอง สัตบุรุษวัดนี้ ก็ได้ฟังเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก

เพลง : Jingle Bell
Dashing through the snow
On a one-horse open sleigh,
Over the fields we go,
Laughing all the way;
Bells on bob-tail ring,
making spirits bright,
What fun it is to ride and sing
A sleighing song tonight
Jingle bells, jingle bells,
jingle all the way!
O what fun it is to ride
In a one-horse open sleigh

A day or two ago,
I thought I'd take a ride,
And soon Miss Fanny Bright
Was seated by my side;
The horse was lean and lank;
Misfortune seemed his lot;
He got into a drifted bank,
And we, we got upsot.
Jingle Bells, Jingle Bells,
Jingle all the way!
What fun it is to ride
In a one-horse open sleigh.

A day or two ago,
the story I must tell
I went out on the snow
And on my back I fell;
A gent was riding by
In a one-horse open sleigh,
He laughed as there
I sprawling lie,
But quickly drove away.
Jingle Bells, Jingle Bells,
Jingle all the way!
What fun it is to ride
In a one-horse open sleigh.

Now the ground is white
Go it while you're young,
Take the girls tonight
And sing this sleighing song;
Just get a bob-tailed bay
two-forty as his speed
Hitch him to an open sleigh
And crack! you'll take the lead.
Jingle Bells, Jingle Bells,
Jingle all the way!
What fun it is to ride
In a one-horse open sleigh.

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สารอาหารคืออะไร

สารอาหาร คือ “ องค์ประกอบของสารประกอบทางเคมีของธาตุต่างๆ ที่มีอยู่ในอาหารที่เรากินเข้าไป สารอาหารมีโครงสร้างโมเลกุลเฉพาะตัว เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า อาหารแต่ละชนิดประกอบด้วยโมเลกุลของสารอาหารหลายๆ ตัว ร่างกายเราต้องการสารอาหารกว่า 40 ชนิด และเพื่อให้ง่ายอีกเช่นกัน เราจึงจัดเป็นสารอาหารออกเป็นพวกๆ ที่สำคัญมี 6 จำพวก ได้แก่ สารอาหาร คาร์โบไฮเดรท , โปรตีน , ไขมัน , วิตามิน , เกลือแร่ , และน้ำ สารอาหารแต่ละชนิดมีหน้าที่เด่นเฉพาะแตกต่างกัน

สารอาหารคาร์โบไฮเดรท ทำหน้าที่เป็นสารตัวแรกที่ร่างกายจะนำไปใช้เป็นพลังงาน สารอาหารชนิดนี้เป็นแหล่งที่ดีที่สุดที่จะทำให้พลังงานแก่ร่างกาย หากร่างกายได้รับสารอาหารชนิดนี้ไม่เพียงพอ จะสลายสารไขมันมาใช้เป็นพลังงาน หากไขมันไม่พอจะสลายสารโปรตีนมาใช้เป็นพลังงาน แต่การที่ปฏิกิริยาทางเคมีจะสลายเอาโปรตีนภายในร่างกายมาใช้เป็นพลังงานได้ ก็ต่อเมื่อร่างกายขาดสารอาหารจากคาร์โบไฮเดรตและไขมันอย่างรุ่นแรง ถ้ามีสารนี้มากเกินไป ร่างกายจะเก็บสะสมไว้ในรูปของไขมัน สำหรับอาหารที่ให้สารอาหารคาร์โบไฮเดรทคืออาหารหมู่ 2

สารอาหารโปรตีน มีหน้าที่เกี่ยวกับการสร้างเซลล์และเนื้อเยื่อเพื่อการเจริญเติบโตของร่าง กาย หรือซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หรือกล่าวง่ายๆ คือ เป็นสารตั้งต้นของการเสริมสร้างอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายไม่ว่าจะเป็น เนื้อเยื่อ กล้ามเนื้อ เลือด ฮอร์โมน น้ำย่อย สารอาหารโปรตีนจะเป็นตัวทำหน้าที่โดยตรง หรือเมื่อมีบาดแผลร่างกายจะใช้สารโปรตีนซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเดิม หากร่างกายขาดสารอาหารโปรตีน ร่างกายจะไม่สามารถใช้สารอาหารตัวอื่นๆ เข้ามาทำหน้าที่ทดแทนได้ สารอาหารโปรตีนจึงมีความสำคัญต่อวัยที่กำลังเจริญเติบโต และหญิงมีครรภ์ ส่วนวัยมีการเจริญเติบโตไปแล้ว ความต้องการโปรตีนของร่างกายจะลดลง แต่ร่างกายยังมีความต้องการเพื่อการซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ที่สึกหรอ อาหารที่ให้สารอาหารโปรตีนคืออาหารหมู่ 1

สารอาหารไขมัน สารอาหารชนิดนี้แม้จะให้พลังงานได้มากกว่าคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนก็ตาม แต่ไม่ใช่หน้าที่เด่นเฉพาะตัว ร่างกายไม่ได้ใช้สารไขมันเป็นตัวแรกในการนำไปสร้างพลังงาน หน้าที่เด่นของไขมันคือ ทำหน้าที่เป็นพาหะ หรือเคลื่อนย้าย หรือขนส่ง สารที่ละลายในไขมัน ไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ขนส่งหรือเคลื่อนย้าย วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และ วิตามินเค ไปยังอวัยวะต่างๆ ซึ่งหากร่างกายไม่ได้รับไขมัน วิตามินเหล่านี้ก็จะไม่ถูกขนส่ง ส่งผลให้เกิดโรคขาดวิตามินดังกล่าว นอกจากนี้ยังช่วยในการดูดซึมวิตามินดังกล่าวในระบบทางเดินอาหาร ไขมันทำให้เรารู้สึกอิ่มได้นาน สารอาหารไขมันจึงมีความสำคัญไม่น้อยกว่าสารอาหารตัวอื่นๆ และหากมีมากจะสะสมในอยู่ในร่างกาย อาหารที่ให้สารอาหารไขมันคืออาหารหมู่ 5

สารอาหารวิตามิน แบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อยคือ สารอาหารวิตามินที่ละลายในน้ำ ได้แก่ วิตามินซี และกลุ่มวิตามินบีรวม ( วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 6 หรือวิตามินบี 12) ส่วนอีกกลุ่มคือ สารอาหารวิตามินที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และ วิตามินเค หน้าที่เด่นเฉพาะของวิตามินคือ ทำหน้าที่ร่วมกับน้ำย่อยหรือเอนไซม์ ในกระบวนการใช้สารอาหารในร่างกายเพื่อให้เกิดปฏิกิริยาอย่างสมบูรณ์

สารอาหารวิตามินแต่ละตัวมีหน้าที่เด่นเฉพาะ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ภายในเซลล์เกิดการออกซิไดซ์จากอนุมูลอิสระ หรือกล่าวง่ายๆ คือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สารอาหารวิตามินเค จะทำหน้าที่เป็นสารช่วยในการแข็งตัวของเม็ดเลือดได้เร็วขึ้น ส่วนที่กล่าวว่าสารอาหารวิตามินทำหน้าที่ป้องกันโรคนั้น เป็นผลทางอ้อม ไม่ใช่หน้าที่โดยตรง ดังจะเห็นได้จาก การไม่กินอาหารที่มีวิตามินบี 1 เป็นระยะเวลานาน จนกระทั่งร่างกายเกิดอาการของโรคเหน็บชา หรือในกรณีที่ไม่กินอาหารที่มีวิตามินซีเป็นเวลานาน จนกระทั่งมีเลือดออกตามไรฟัน นั่นคือผลจากการขาดวิตามินซี ดังนั้นควรกินอาหารที่มีสารอาหารวิตามินอย่างเพียงพอต่อความต้องการ จึงจะไม่ปรากฏอาการของโรค ร่างกายมีความสามารถในการสะสมวิตามินที่ละลายในไขมันไว้ใช้ได้ในระยะเวลา หนึ่ง ส่วนวิตามินที่ละลายในน้ำ หากร่างกายได้รับเกินความต้องการจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะ อย่างไรก็ตามหากร่างกายได้รับวิตามินมากเกินความต้องการจะเกิดผลเสียเช่นกัน เพราะร่างกายของคนเราต้องการสารอาหารวิตามินในปริมาณที่ค่อนข้างน้อย แต่ร่างกายไม่สามารถทำงานได้ถ้าปราศจากสารอาหารวิตามิน ดังนั้นสารอาหารวิตามินจึงมีความสำคัญอีกเช่นกัน อาหารที่ให้สารอาหารวิตามินคืออาหารหมู่ 3 และหมู่ 4

สารอาหารเกลือแร่ ลักษณะหน้าที่เด่นเฉพาะของสารอาหารนี้คือ ทำหน้าที่เป็นตัวเสริม , ทำหน้าที่เป็นตัวควบคุม , และทำหน้าที่เป็นตัวเร่งให้เกิดการทำงานของปฏิกิริยาทางเคมีภายในเซลล์ ตัวอย่างเช่น เกลือแร่แคลเซียม และฟอสฟอรัสเป็นสารที่ร่างกายต้องใช้สร้างกระดูกและฟัน เกลือแร่บางตัวทำให้เกิดความสมดุลของความเป็นกรดและด่างภายในร่างกาย บางตัวเกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดเลือด บางตัวก็มีส่วนสำคัญที่ร่างกายใช้ประกอบในการสังเคราะห์ฮอร์โมน

สารอาหารเกลือแร่มีอยู่ประมาณ 21 ชนิดที่สำคัญต่อร่างกาย เกลือแร่ที่ร่างกายต้องการมากคือ แคลเซียม ซึ่งแคลเซียมเป็นส่วนประกอบของกระดูก , ฟัน , กล้ามเนื้อ , และในระบบเลือด เกลือแร่ประเภทอื่นที่ร่างกายต้องการนอกเหนือจากแคลเซียม ได้แก่ โซเดียม , โพแทสเซียม , ฟอสฟอรัส , แมกนีเซียม , คลอไรท์ , เหล็ก , ไอโอดีน , ทองแดง , สังกะสี , ฟลูออไรท์ เป็นต้น แต่ละชนิดจะมีหน้าที่ต่างกัน ถ้าขาดก็จะมีผลเสียต่อร่างกาย ด้วยเหตุนี้ร่างกายจึงขาดเกลือแร่ไม่ได้ อาหารที่ให้สารอาหารเกลือแร่คืออาหารหมู่ 3 และหมู่ 4

สารอาหารน้ำ น้ำแตกต่างจากสารอาหารตัวอื่นคือ น้ำเป็นทั้งสารอาหารและอาหาร น้ำทำหน้าที่เด่นเฉพาะคือ เป็นตัวทำให้เกิดการละลายและนำสารต่างๆ ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย และขณะเดียวกันของเสียบางส่วนในเซลล์ที่สามารถละลายในน้ำได้จะถูกทำละลายและ ขับออกพร้อมกับปัสสาวะ ในร่างกายมีน้ำประมาณ 2 ใน 3 ส่วน กระจายอยู่ในส่วนประกอบต่างๆ หากเมื่อใดก็ตามที่ร่างกายสูญเสียน้ำประมาณร้อยละ 10 ไตจะทำงานผิดปกติ และถ้าสูญเสียน้ำไปประมาณร้อยละ 20 อาจจะทำตายได้เนื่องจากสภาวะขาดน้ำ น้ำจึงเป็นสารอาหารและอาหารที่สำคัญ เราอาจอดอาหารประเภทอื่นๆ ได้เป็นเดือน แต่ขาดน้ำไม่ถึง 2 หรือ 3 วันก็อาจจะเสียชีวิตได้

ส่วนอาหาร 5 หมู่ นั้นประกอบด้วย

หมู่ที่ 1: เนื้อสัตว์ต่างๆ ( เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อเป็ด เนื้อไก่ กุ้ง หอย ปู ปลา ) ไข่ ถั่วเมล็ด และนม


หมูที่ 2: ข้าว ( ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวสาลี ) น้ำตาล เผือก มัน


หมู่ที่ 3: ผักใบเขียว และพืชผักอื่นๆ เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง แตงกวา ตำลึง ยอดแค


หมู่ที่ 4: ผลไม้ต่างๆ เช่น กล้วยสุก มะละกอสุก เงาะ ลำไย ชมพู่ มังคุด


หมู่ที่ 5 น้ำมันพืช ( น้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน) น้ำมันและผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น น้ำมันหมู เนย ครีม


สิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งในปัจจุบันเกี่ยวกับอาหารคือ สารพิษตกค้าง เพราะพบว่ามีมากขึ้น ดังนั้นไม่ว่าสิ่งใดที่เราหยิบเข้าปาก เราควรจะต้องพิจารณาถึงความสะอาด ปราศจากสารพิษตกค้าง และคุณค่าทางโภชนาการของสิ่งนั้นๆ หากเราไม่ใช่ผู้ที่เลือกสรรอาหารมาปรุงเพื่อกินเอง เราไม่สามารถแน่ใจได้ทั้งหมดว่าสิ่งที่เราหยิบเข้าปาก จะสะอาดและปราศจากสารพิษตกค้างอันเป็นสารที่จะก่อให้เกิดมะเร็ง หรือทำลายระบบอวัยวะภายในของร่างกายภายหรือไม่ ปัญหานี้ค่อนข้างสร้างความวิตกให้กับหน่วยงานสาธารณสุขของแต่ละประเทศมากโดย เฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว สำหรับประเทศที่มีหน่วยงานสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพ จะทำหน้าที่ควบคุม ตรวจสอบ และกำหนดปริมาณสารพิษตกค้างในอาหาร ดังที่เราเห็นเป็นข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการส่งกลับของอาหารส่ง ออกจากบางประเทศ เพราะถูกตรวจพบว่ามีสารพิษตกค้างเกินเกณฑ์ที่กำหนดของประเทศนั้นๆ สำหรับประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา ที่หน่วยงานสาธารณสุขยังไม่มีความเข้มแข็งหรือไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการ กำหนดกฎเกณฑ์สารพิษตกค้างในอาหาร ก็จะกลายเป็นแหล่งรองรับ หรือเป็นตลาดของอาหารที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ ที่น่าเศร้าใจไปกว่านั้นคือ ประเทศที่พัฒนาแล้วกลับเป็นผู้ผลิตอาหารที่ตรวจแล้วไม่ผ่านในประเทศของตน ส่งขายให้กับประเทศที่ไม่มีการควบคุมคุณภาพ ดังนั้นเราคงจะต้องใช้วิจารญาณในการเลือกอาหารที่จะกินให้มากขึ้น

คุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง



ถั่วเหลืองมีสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ตัวหนึ่งที่โดดเด่นและน่าสนใจคือ
กลุ่ม ไอโซฟลาโวนส์ Isoflavones ตัวอย่างเช่น geistein ,daidzein ซึ่งทำหน้าที่คล้ายฮอร์โมน เอสโตรเจนในร่างกาย

ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองจึงมีประโยชน์อย่างมากสำหรับคุณสุภาพสตรี โดยเฉพาะที่มีภาวะหมดประจำเดือน เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนหลักที่ควบคุมการเสริมสร้างกระดูกของ ร่างกาย และยังช่วยรักษาความชุ่มชื้น ยืดหยุ่นของผิวหนัง

การทานน้ำนมถั่วเหลือง หรือเต้าหู้ก็เป็นอีกหนทางที่ดีที่จะช่วยคุณสุภาพสตรีลดหรือบรรเทาอาการข้างเคียงจากภาวะหมดประจำเดือน

คุณประโยชน์อื่นๆที่น่าสนใจยังมีอีกเพราะถั่วเหลืองไม่ได้มีคุณประโยชน์เพียงแค่ผู้หญิง
แต่ผู้ชาย จนถึงเด็กๆต่างก็ได้รับประโยชน์จากถั่วเหลืองได้ดังข้อมูลที่จะกล่าวต่อไป:


- ช่วยลดและป้องกัน โรคมะเร็งเต้านม และ บรรเทาอาการ ข้างเคียงจาก ภาวะหมดประจำเดือน

- ช่วยป้องกันและแก้ไข โรคหัวใจ เนื่องจากเป็นอาหารที่ไม่มีคอเรสเตอรอล มีไฟเบอร์สูง นอกจากนี้ยังมี โอเมกา 3 และวิตามินอี

- ช่วยป้องกันและยับยั้งโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก แม้ว่ากลไกในการทำงานของมันเรายังไม่ทราบ แต่นักวิจัยพบว่าผู้ชายที่รับประทานผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองยิ่งมากเท่าไร การเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมากยิ่งพบน้อยลง

- ช่วยป้องกันโรคระบบทางเดินอาหาร เนื่องจากถั่วเหลืองมีไฟเบอร์สูง ไฟเบอร์เหล่านี้จะช่วยทำความสะอาดระบบทางเดินอาหาร

- ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ได้

- เป็นแหล่งโปรตีนสำคัญสำหรับนักมังสวิรัต เพราะถั่วเหลืองมีสารอะมิโน เอซิด ที่จำเป็นต่อร่างกาย

- ใช้แทนน้ำนมวัว ในเด็กที่แพ้นมวัวและแพ้แลคโตสในนม เราสามารถใช้น้ำนมถั่วเหลืองชดเชยได้

- ใช้เป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน เพราะถั่วเหลืองมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบน้อย และยังไม่มีคอเลสเตอรอล

ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น น้ำเต้าหู้ เต้าหู้ประเภทต่างๆ





น้ำเต้าหู้ หรือนมถั่วเหลือง (soybean milk, soy milk, soya milk) ผลิตจากการนำถั่วเหลืองมาแช่ บด และต้มกับน้ำแล้วกรองเอาส่วนที่เป็นน้ำมาปรุงรสหวานเป็นเครื่องดื่ม มีการศึกษาถึงคุณประโยชน์ต่อสุขภาพของถั่วเหลืองเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ซึ่งอ้างถึงประโยชน์ในการลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ลดอาการวัยทอง และลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคกระดูกพรุน ซึ่งล้วนเป็นปัญหาด้านสุขภาพที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่สูงวัยขึ้น

(1) หากกล่าวถึงส่วนประกอบทางโภชนาการของนมถั่วเหลืองเปรียบเทียบกับนมวัว แม้ว่านมถั่วเหลืองจะมีปริมาณโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส และวิตามินต่างๆ น้อยกว่านมวัว

(2) อย่างไรก็ตาม นมถั่วเหลืองใช่ว่าจะด้อยคุณค่าทางโภชนาการ แต่ยังคงมีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะโปรตีนที่ประกอบด้วยกรดอะมิโนจำเป็นอยู่ครบถ้วน อีกทั้งคุณภาพของโปรตีนไม่ด้อยกว่าโปรตีนจากแหล่งอื่น นมถั่วเหลืองยังมีข้อดีกว่านมวัวบางประการ นั่นคือ นมถั่วเหลืองมีส่วนประกอบของใยอาหาร และธาตุเหล็กมากกว่านมวัว นอกจากนี้ xxxส่วนของกรดไขมันไม่อิ่มตัวในนมถั่วเหลืองยังสูงกว่านมวัวอีกด้วย ในถั่วเหลืองยังมีสาร phytoestrogen ที่มีชื่อว่า isoflavones มีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน และเป็นสารสำคัญที่พบมากในถั่วเหลือง

(2) จากคุณค่าทางโภชนาการของนมถั่วเหลืองข้างต้น จึงทำให้ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองรวมถึงนมถั่วเหลือง กลายเป็นอาหารเพื่อสุขภาพของบุคคลทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ที่ยังคงจำเป็นต้องได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอ แต่ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง
มีการศึกษาถึงประโยชน์ของ นมถั่วเหลืองมากมาย การศึกษาผลของการรับประทานโปรตีนจากถั่วเหลืองและ isoflavones ในผู้ที่มีระดับไขมันในเลือดสูง พบว่า โปรตีนจากถั่วเหลืองและ isoflavones ช่วยลดระดับไขมันในเลือดในผู้ที่มีระดับ LDL-cholesterol ในเลือดสูงร่วมกับการรับประทานอาหารไขมันต่ำ จึงมีการแนะนำให้ผู้ป่วยโรคไขมันในเลือดสูงและโรคหัวใจบริโภคนมถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองแทนนมวัวหรือเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือดและโรคหัวใจ

(3) สาร isoflavones ยังสามารถลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชายได้

(4) นอกจากนี้ ยังช่วยลดอาการวัยทองในหญิงวัยหมดประจำเดือน มีผลเพิ่มมวลกระดูกและลดการเสื่อมสลายของกระดูกในผู้สูงอายุทั้งหญิงและชาย

(5) อย่างไรก็ตาม ผลในการลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ ของสาร isoflavones ยังไม่อาจสรุปได้ แต่จากผลการศึกษาทางคลินิกของโปรตีนจากถั่วเหลือง อาจกล่าวได้ว่า นมถั่วเหลืองนั้นมีประโยชน์ต่อผู้สูงอายุ ซึ่งนอกจากจะมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายแล้ว อาจช่วยในการลดความเสี่ยงต่อโรคภัยต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ มีใยอาหารช่วยในระบบขับถ่าย และยังดีต่อผู้สูงอายุที่แพ้โปรตีนจากนมวัว รวมถึงไม่สามารถย่อยน้ำตาลแล็คโตสในนมวัวได้ องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาได้จัดให้โปรตีนจากถั่วเหลือง เป็นอาหารเพื่อสุขภาพ โดยแนะนำการบริโภคโปรตีนจากถั่วเหลืองวันละ 2.5 กรัมต่อวัน ส่วนปริมาณนมถั่วเหลืองที่แนะนำให้ดื่มในผู้สูงอายุคือ 1-2 แก้วต่อวัน กรณีเป็นนมถั่วเหลืองที่ไม่เติมแคลเซียม ซึ่งจะได้โปรตีนเทียบเท่ากัน



(6) ผู้สูงอายุอาจต้องรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงร่วมด้วย เพื่อให้ได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอ ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์นมถั่วเหลือง มีการเติมแคลเซียมลงไปด้วย ซึ่งช่วยเสริมคุณค่าทางโภชนาการของนมถั่วเหลืองได้ดียิ่ง สำหรับผู้สูงอายุ ไม่ควรดื่มนมถั่วเหลืองมากเกินไปเพราะอาจเกิดผลเสียต่อร่างกายมากกว่า ประโยชน์ที่จะได้รับ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์นมถั่วเหลืองที่จำหน่ายตามท้องตลาด ซึ่งมีส่วนผสมของน้ำตาลอยู่สูง หากรับประทานมากเกินไป อาจทำให้เกิดโรคอ้วน ผู้สูงอายุรวมถึงผู้ที่เป็นโรคเบาหวานร่วมด้วย ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำตาลน้อยหรือไม่มีน้ำตาล อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผลการศึกษาทางคลินิกต่างๆ จะกล่าวถึงประโยชน์อันหลากหลายของโปรตีนจากถั่วเหลืองในการป้องกันโรคต่างๆ แต่ผลดีดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับสารอาหารจากอาหารปกติอย่าง เพียงพอ และบริโภคในปริมาณที่แนะนำ

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สาเหตุจากโรคอ้วน

คนเรารับประทานอาหารเข้าไปไม่ว่าจะเป็นประเภทแป้ง หรือโปรตีนหากพลังงานที่ได้รับเกินความต้องการ

ร่างกายก็จะสะสมอาหารส่วนเกินเหล่านั้นในรูปไขมัน สะสมมากขึ้นจนกลายเป็นโรคอ้วน ดังนั้นคนที่อ้วนเกิดจากเรารับอาหารที่มีพลังงานมากกว่าพลังงานที่เราใช้ไป สาเหตุจริงๆยังไม่ทราบแน่ชัด โรคอ้วนมักจะมีสาเหตุต่างๆดังนี้

  • การ รับประทานอาหาร หากรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูงเป็นประจำ จะให้น้ำหนักเกินโดยเฉพาะอาหารที่มีไขมัน และแป้งสูงซึ่งมักจะพบในอาหารจานด่วน
  • ประเภท ของอาหาร โดยเฉพาะผู้ที่ชอบรับประทานอาหารที่มีน้ำตาล ไม่ว่าจะเป็นกลูโคส sugars, fructose,น้ำหวาน เครื่องดื่ม ไวน์ เบียร์ อาหารเหล่านี้จะดูดซึมอย่างรวดเร็ว และทำให้ร่างกายหลั่งอินซูลินเป็นปริมาณมาก ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นสาเหตุของโรคอ้วน
  • ภาวะที่ ร่างกายเผาพลาญพลังงานน้อย ผู้ชายจะมีกล้ามเนื้อมากว่าผู้หญิง กล้ามเนื้อจะเผาพลังงานได้มากดังนั้นผู้หญิงจึงอ้วนง่ายกว่าผู้ชายและลด น้ำหนักยาก
  • โรคต่อมไร้ท่อ เช่นต่อมธัยรอยด์ทำงานน้อยจะมีน้ำหนักเกินเนื่องจากร่างกายเผาผลาญอาหารน้อย ลง โรค cushing ร่างกายสร้างฮอร์โมน cortisol มากทำให้ร่างกายมีการสะสมไขมัน ฮอร์โมนนี้อาจจะมาจากร่างกายสร้างเอง หรือจากลูกกลอน ยาแก้หอบ ยาชุด หรือร่างกายสร้างขึ้นเนื่องจากเนื้องอกต่อมหมวกไต
  • จากยา ยาบางชนิดทำให้ความอยากอาหารเพิ่ม เช่นยาคุมกำเนิด ยาแก้โรคซึมเศร้า tricyclic antidepressant,phenothiazine ยาลดความดัน beta-block ยารักษาเบาหวาน ยาคุมกำเนิด ยา steroid
  • กรรมพันธุ์ จะพบว่าบางครอบครัวจะอ้วนทั้งหมดซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากพันธุกรรม เช่นคนที่เป็นโรคขาด leptin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ส่งไปยังสมองทำให้เรารับอาหารน้อยลง แต่อีกส่วนหนึ่งอาจจะเกิดจากวัฒนธรรมการรับประทานอาหารและความเป็นอยู่
  • วัฒนธรรมการดำรงชีวิตและอาหารซึ่งเห็นได้ว่าบางชาติจะมีน้ำหนักเกินเนื่องจากอาหารของชาตินั้นนิยมอาหารมันๆ
  • ความผิดปกติทางจิตใจทำให้รับประทานอาหารมาก เช่นบางคนเศร้า เครียด แล้วรับประทานอาหารเก่ง
  • การดำเนินชีวิตอย่างสบาย มีเครื่องอำนวยความสะดวดมากมาย และขาดการออกกำลังกาย มีรถยนต์ มีเครื่องทุ่นแรง มีทีวีรายการดีๆให้ดู มีสื่อโฆษณาถึงน้ำหวาน น้ำอัดลม เหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงโรคอ้วนตั้งแต่ในวัยเด็ก
  • การดื่มสุรา
  • การสูบบุหรี่
  • โรคอ้วนในวัยรุ่น ชีวิตที่มีความสบาย ขาดการออกกำลังกาย รับประทานอาหารไม่จำกัดเวลา ไม่จำกัดประเภท และไม่จำกัดปริมาณเหล่านี้ทำให้เกิดโรคอ้วน เมื่ออ้วนก็ทำให้ออกกำลังได้ไม่เต็มที่ พบว่าวัยรุ่นหรือเด็กที่มีน้ำหนักเกินมักจะเกิดโรคอ้วนเมื่อเป็นผู้ใหญ่ น้ำหนักของผู้ชายจะเพิ่มจนคงที่เมื่ออายุประมาณ 50 ปี ส่วนผู้หญิงน้ำหนักจะเพิ่มจนอายุประมาณ 70 ปี
  • โรคอ้วนในเด็ก เซลล์ไขมันในร่างกายจะมีช่วงที่เจริญเติบโตอยู่สองช่วงคือวัยเด็กและวัยรุ่น กรรมพันธุ์เป็นตัวกำหนอให้แต่ละคนมีเซลล์ไขมันไม่เท่ากัน คนอ้วนจะมีเซลล์ไขมันมาก การอ้วนในเด็กจะมีปริมาณเซลล์ไขมันมากทำให้ลดน้ำหนักยาก สานโรคอ้วนในผู้ใหญ่เกิดจากเซลล์ไขมันมีขนาดใหญ่
  • การคำนวนโรคอ้วนในเด็ก

ทำไมเลิกบุหรี่จึงมีน้ำหนักเพิ่ม

nicotin ในบุหรี่จะกระตุ้นการเผาผลาญอาหาร เมื่อหยุดสูบบุหรี่น้ำหนักจะขึ้นง่าย

คนทำงานเป็นกะมีโอกาสอ้วน

มีการศึกษาว่าคนงานที่ทำงานเป็นกะจะมีน้ำหนักเพิ่มง่ายเนื่องจากรับประทานอาหารมาก และพักผ่อนมาก


รังสีอัลตราไวโอเลต = UV

รังสีอัลตราไวโอเลต

ภาพถ่ายแสงออโรราจากดาวพฤหัสบดีในช่วงรังสีอัลตราไวโอเลต ถ่ายโดยองค์การนาซา

รังสีอัลตราไวโอเลต หรือ รังสีเหนือม่วง หรือ รังสียูวี (ultraviolet) เป็นช่วงหนึ่งของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่าแสงสีม่วง รังสีอัลตราไวโอเลตแบ่งเป็นสามชนิดย่อย ได้แก่

  • UVA มีความยาวคลื่น 400–315 นาโนเมตร
  • UVB มีความยาวคลื่น 315–280 นาโนเมตร
  • UVC มีความยาวคลื่นน้อยกว่า 280 นาโนเมตร

ยิ่งความยาวคลื่นของรังสีสั้น ก็ยิ่งมีอันตรายมากขึ้น และก็มีประโยชน์มากขึ้นเช่นเดียวกัน (ในการฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวี)

การค้นพบ

หลังจากที่รังสีอินฟราเรดถูกค้นพบ นักฟิสิกส์ชาวเยอรมันชื่อ (Johann Wilhelm Ritter) ได้ทดลองค้นหารังสีที่อยู่ตรงข้ามกับรังสีอินฟราเรด นั่นคือ รังสีอินฟราเรดมีความยาวคลื่นยาวกว่าแสงสีแดง แต่ริตเตอร์ต้องการจะหารังสีชนิดหนึ่งที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่าสีม่วง เขาได้ใช้กระดาษอาบซิลเวอร์คลอไรด์วางไว้กลางแดด พบว่ากระดาษนั้นเปลี่ยนเป็นสีดำ ริตเตอร์เรียกรังสีนี้ว่า deoxidizing rays ต่อมาก็เปลี่ยนชื่อเป็นยูวีดังเช่นในปัจจุบัน

โทษ

การรับรังสีอัลตราไวโอเลตมากเกินควร ก่อให้เกิดอันตรายกับระบบต่าง ๆ ของร่างกายได้ รังสีอัลตราไวโอเลตในช่วง UVC มีพลังงานสูงที่สุด และที่สำคัญคืออันตรายที่สุด แต่พบได้น้อยเพราะบรรยากาศกรองเอาไปหมดแล้ว ทว่าเครื่องมือฆ่าเชื้อในน้ำดื่มอาจปล่อยรังสีช่วงนี้ออกมาก็ได้รังสีอัลตราไวโอเลตทั้งสามชนิดคือ UVA, UVB และ UVC สามารถทำให้คอลลาเจนในผิวหนังเสื่อมสภาพได้ ซึ่งเป็นเหตุหนึ่งให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย แต่ UVA มีความรุนแรงน้อยที่สุด เพราะไม่สามารถก่อให้เกิดอาการแดดเผา (sunburn) ทว่ายังน่ากลัวอยู่ที่สามารถแปลงสภาพ DNAเมลานินขึ้นมา เพื่อป้องกันการทะลวงของยูวี จึงทำให้ผิวคล้ำดำมากขึ้นนอกจากผิวหนังแล้ว ยูวียังเป็นอันตรายต่อดวงตา โดยเฉพาะ UVB ทำให้เกิดอาการที่เรียกว่า arc eye คือรู้สึกเหมือนมีทรายเข้าตา หรือถ้ารุนแรงกว่านั้นอาจทำให้เป็นโรค (cataract) ได้ โดยเฉพาะในหมู่ การป้องกันก็คือ สวมใส่แว่นป้องกัน ได้ จนอาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนัง แต่ร่างกายก็สามารถป้องกันได้ โดยการสร้างเม็ดสี

ประโยชน์

ประโยชน์ของรังสีอัลตราไวโอเลตนั้นมีมาก ดังจะได้กล่าวคราว ๆ ต่อไปนี้

แบล็กไลต์

แบล็กไลต์ (black light) เป็นหลอดที่เปล่งรังสียูวีคลื่นยาว มีสีม่วงดำ ใช้ตรวจเอกสารสำคัญ เช่น ธนบัตร, หนังสือเดินทาง, บัตรเครดิต ฯลฯ ว่าเป็นของจริงหรือปลอม หลายประเทศได้ผลิตลายน้ำที่สามารถมองเห็นได้ในรังสีชนิดนี้ นอกจากนี้ แบล็กไลต์ยังสามารถใช้ล่อแมลงให้มาติดกับ เพื่อที่จะกำจัดภายหลังได้

หลอดฟลูออเรสเซนต์

หรือหลอดเรืองแสง ใช้หลักการผลิตรังสีอัลตราไวโอเลต โดยการทำให้ไอปรอทแตกตัว รังสีที่ได้จะไปกระทบสารเรืองแสงให้เปล่งแสงออกมา

ดาราศาสตร์

ในทางดาราศาสตร์ โดยปกติแล้ววัตถุที่ร้อนมากจะเปล่งยูวีออกมา เราจึงสามารถศึกษาวัตถุท้องฟ้าได้โดยผ่านทางยูวี ทว่าต้องไปปฏิบัติในอวกาศ เพราะยูวีส่วนมากถูกโอโซนดูดซับไว้หมด

การวิเคราะห์แร่

รังสีอัลตราไวโอเลตสามารถใช้ตรวจวิเคราะห์แร่ได้ แม้ว่าจะดูเหมือนกันภายใต้แสงที่มองเห็น แต่เมื่อผ่านยูวีแล้วก็จะเห็นความแตกต่างได้

การฆ่าเชื้อโรค

รังสีอัลตราไวโอเลตสามารถใช้ฆ่าเชื้อโรคได้ โดยเฉพาะในน้ำดื่ม แต่ยังสามารถนำไปฆ่าเชื้อในเครื่องมือ หรืออาหารได้ด้วย


โรคอ้วนอาจเกี่ยวกับการนอนน้อย

ผลการ วิเคราะห์รายงานการศึกษาหลายชิ้นพบว่า การที่เด็กและวัยรุ่นมีแนวโน้มนอนดึกและนอนน้อยกันมากขึ้น อาจมีส่วนทำให้เป็นโรคอ้วนกันมากขึ้น
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ชาฮัด ทาเฮรี นักวิจัยของมหาวิทยาลัยบริสทอลในอังกฤษ เขียนบทความลงในวารสารอาร์ไควฟ์ส ออฟ ดีซิส อิน ไชลด์ฮูด ว่า ไม่ควรให้ห้องนอนของเด็กมีโทรทัศน์ เครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะทำให้เด็กนอนดึกและนอนน้อย เพราะมีงานวิจัยมากขึ้นว่าการนอนน้อยทำให้กระบวนการเผาผลาญอาหารในร่างกาย เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดโรคอ้วน เกิดภาวะดื้ออินซูลิน เบาหวาน และโรคหัวใจ ทาเฮรีอ้างผลการศึกษาในอังกฤษที่มีการเผยแพร่เมื่อปีก่อนว่า ทารกอายุ 30 เดือนที่นอนไม่พอจะเสี่ยงเป็นโรคอ้วนเมื่ออายุไม่เกิน 7 ปี จึงเป็นไปได้ว่าการนอนไม่พออาจมีผลต่อกลไกในร่างกายที่ควบคุมความอยากทาน อาหารและการใช้พลังงาน การนอนไม่พอยังเป็นปัญหาของวัยรุ่นซึ่งเป็นวัยที่ร่างกายต้องการนอนมากขึ้น ในช่วงที่กำลังพัฒนาเข้าสู่วัยผู้ใหญ่

ผลการวิจัยของทาเฮรีเองที่เผยแพร่เมื่อปี 2547 พบว่า ผู้ใหญ่ที่นอนวันละ 5 ชั่วโมงมักมีฮอร์โมนเกรลินที่กระเพาะอาหารผลิตเพื่อส่งสัญญาณความหิว มากกว่าคนที่นอนวันละ 8 ชั่วโมง ราวร้อยละ 15 และมีฮอร์โมนเลปตินที่เนื้อเยื่อไขมันผลิตเมื่อระดับพลังงานในร่างกายมีน้อย น้อยกว่าคนที่นอนวันละ 8 ชั่วโมงราวร้อยละ 15 นอกจากนี้เด็กที่รู้สึกเพลียเพราะนอนน้อยยังไม่ค่อยออกกำลังกายอีกด้วย

นักวิจัยสรุปว่า ลำพังการนอนอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบที่จะแก้ปัญหาโรคอ้วนระบาด แต่ควรศึกษาถึงผลจากการนอน เพราะการเปลี่ยนแปลงสมดุลด้านพลังงานเพียงเล็กน้อยก็มีประโยชน์ในเรื่องนี้ พร้อมกับแนะนำว่า เด็กควรเข้านอนและตื่นนอนอย่างเป็นเวลา เลี่ยงการรับประทานอาหารมื้อใหญ่ก่อนนอน อากาศในห้องนอนไม่ร้อนหรือเย็นเกินไปและค่อนข้างมืดเพื่อให้หลับสนิท ส่วนผู้ใหญ่ควรนอนในช่วงวันหยุดให้มากขึ้นกว่าวันธรรมดาไม่เกิน 2-3 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้เวลาในร่างกายผิดปกติไป.
วัดพระธาตุดอยสุเทพ



วัดพระธาตุดอยสุเทพ
ไหว้องค์พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ คู่เมืองเชียงใหม่
เป็นวัดสำคัญของเชียงใหม่ นักท่องเที่ยวทุกคนที่เดินทางไปเชียงใหม่มักขึ้นไปนมัสการจนมีคำขวัญชาวบ้านในสมัยก่อนว่า
ไปเชียงใหม่ต้อง "ไปกำแพงดิน กินข้าวซอย ขึ้นดอยสุเทพ"
อีกทั้งคนเชียงใหม่เองยังเดินทางไปนมัสการอยู่เป็นประจำด้วย
เชื่อว่าการขึ้นไปนมัสการพระธาตุเสมือนกับการไปแสวงบุญ เนื่องจากสมัยก่อนการเดินทางขึ้นดอยนั้นทำได้ยาก

ที่ตั้ง
อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ ๒๐ กิโลเมตร หมายเลขทางหลวง ๑๐๐๔ ถนนห้วยแก้ว ระยะทางจากเชิงดอยไปถึงพระธาตุดอยสุเทพประมาณ ๑๔ กิโลเมตร

ประวัติ
ตั้งขึ้นในสมัยโบราณตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๖๒ ครั้งพญากือนา กษัตริย์องค์ที่ ๖ แห่งราชอาณาจักรมังราย ทรงนิมนต์พระเถระจากสุโขทัยเข้ามาเผยแพร่
พระพุทธศาสนาในเชียงใหม่ ท่านได้นำพระบรมสารีริกธาตุมาด้วยจำนวนสององค์ พญากือนาจึงโปรดให้สร้างเจดีย์ขึ้นที่วัดสวนดอก
และวัดพระธาตุดอยสะเทพ ในระยะแรกวัดพระธาตุดอยสุเทพยังไม่มีพระภิกษุจำพรรษา ต่อมาประมาณปีพ.ศ. ๒๐๘๑ - ๒๑๐๐ พระญาณมงคลโพธิเถระจากลำพูนมาจำพรรษา และสร้างบันไดหินจากฐานขึ้นไปยังองค์พระบรมธาตุ ต่อมาได้ก่ออิฐถือปูนเป็นบันไดนาค
พ.ศ.๒๓๔๘พระเจ้ากาวิละโปรดให้บูรณะปฎิสังขรณ์พระบรมธาตุและสร้างวิหารสองหลังและเริ่มงานประเพณีขึ้นดอยเพื่อไปทำบุญในวันแปดเป็ง (เหนือ) หรือวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ (วันวิสาขบูชา)
พ.ศ. ๒๔๗๘ ครูบาศรีวิชัย (นักบุญแห่งล้านนาไทย) ได้เชิญชวนให้ประชาชนชาวเหนือร่วมแรงงานร่วมใจกันสร้างถนนจากเชิงดอยขึ้นไปสู่
วัดพระธาตุฯ โดยเริ่มลงมือเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๘ แล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๙ ในเวลาเพียง ๔ เดือน ๒๒ วันเท่านั้น
รวมระยะทางประมาณ ๑๔ กิโลเมตร

ประเพณีขึ้นดอย
เป็นพระเพณีที่สืบทอดกันมาแต่อดีต ในคืนก่อนวันวิสาขบูชาของทุกปี ชาวบ้านจะเดินทางด้วยการเดินเท้าถือประทีปธูปเทียนเป็นริ้วขบวนประกอบด้วย
พระสงฆ์ซึ่งเดินนำหน้าขบวน และยังมีหนุ่มสาวที่เดินขึ้นดอยเป็นหมู่เป็นคณะอีกด้วย เริ่มขบวนที่บริเวณอนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย ใกล้กับวัดศรีโสดาในอดีต
จะแวะนมัสการวัดสักกิทาคา และวัดอนาคามีแต่ปัจจุบันวัดทั้งสองได้ร้างไปแล้วขบวนจึงเดินขึ้นไปนมัสการ ที่วัดพระธาตุดอยสุเทพเพื่อจะไปทำบุญตักบาตรและฟังพระแสดงพระธรรมเทศนาในตอน เช้าตรู่วันวิสาขบูชา


บันไดนาค

เป็นบันไดที่มีเศียรนาค ๗ เศียร เป็นปูนปั้นประดับด้วยกระจกสี บันได้นาคมีถึง ๓๐๐ ขั้น แต่เท่าที่นับได้จริง มี ๑๘๕ ขั้น


ประวัติครูบาศรีวิชัย

ครูบาศรีวิชัย เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๑ ที่บ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ในขณะเกิดปรากฎว่าฝนตกหนักฟ้าร้องดังกึกก้องตลอดเวลา
บิดาและมารดาจึงตั้งชื่อว่า"อินทะเฟือน" ซึ่งแปลว่า "ฟ้าร้อง" เมื่ออายุได้ ๑๘ ปีได้บวชเณรตั้งแต่ยังเล็กได้บุญยิ่งกว่าบวชพระ เพราะเด็กยังมีความบริสุทธิ์อยู่
ต่อมาจึงได้อุปสมบทเป็นพระ"ศรีวิชัย"ได้ศึกษาเล่าเรียนทางวิปัสสนาจนมีความ รู้แตกฉานเป็นที่เคารพของชาวเมืองทั่วไปจนพากันเรียกว่า"ครูบา"
ซึ่งหมายถึงพระภิกษุอาวุโส ตลอดชีวิตของครูบาศรีวิชัยได้บูรณะซ่อมแซมวัดวาอารามต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมากเป็นทีศรัทธาของสานุศิษย์ เพียงออกปาก
ก็ได้รับความร่วมมือและช่วยเหลือเป็นอย่างดี เช่น การสร้างทางขึ้นดอยสุเทพการบูรณะวัดสวนดอก บูรณะวัดพระสิงห์วรมหาวิหาร เป็นต้นครูบาศรีวิชัย
ถึงมรณภาพลงเมื่อวนัที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๑ ที่วัดบ้านปาง จังหวัดลำพูน อายุ ๖๐ ปีเศษพรรษได้ ๔๐ พรรษา


อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัย
อยู่ตรงที่บริเวณทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวเชียงใหม่ที่ให้ความเคารพอย่างมากผู้ที่เดิน ทางขึ้นดอยสุเทพมักจะแวะมานมัสการ
อนุสาวรีย์ครูบาศรีวิชัยเพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนเดินทางขึ้นดอยอนุสาวรีย์ ครูบาศรีวิชัยได้สร้างขึ้นหลังจากที่ครูบาศรีวิชัยได้มรณภาพแล้ว ทางราชการ
และชาวเมืองเชียงใหม่ได้บริจากทรัพย์ช่วยกันสร้าง โดยให้กรมศิลปกากรเป็นผู้ออกแบบก่อสร้าง เมื่อแล้วเสร็จได้นำมาประดิษฐานไว้ที่เชิงเขาห้วยแก้ว
อันเป็นจุดเริ่มต้นของการขึ้นดอยสุเทพดังที่ปรากฎในปัจจุบั

อุทยานแห่งชาติ ออบหลวง, เชียงใหม่

อยู่ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ตามทางหลวงหมายเลข 108 สายฮอด-แม่สะเรียง ตรงหลักกม.ที่ 17 รวมระยะทางประมาณ 105 กม. ถนนเป็นถนนลาดยางอย่างดี และช่วงระหว่างฮอดถึงออบหลวงนั้น ถนนจะเลียบขนานไปกับแม่น้ำแม่แจ่มหรือแม่น้ำสลักหิน และวกไปเวียนมาตามไหล่เขา
ลักษณะทั่วไป ออบหลวงเป็นสถานที่น่าเที่ยวที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ ความสวยงาม และความน่ากลัวไว้ในจุดเดียวกัน กล่าวคือ เบื้องล่างเป็นแม่น้ำสลักหิน ที่ไหลคดเคี้ยวผ่านช่องเขาขาด ตรงออบหลวงช่องเขานี้มีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชัน และแคบมากบีบทางน้ำไหล ดังนั้นแม่น้ำตรงนี้จึงเชี่ยวจัด เสียงน้ำกระทบหน้าผาดังสนั่นแต่รอบ ๆ บริเวณชายน้ำด้านเหนืองดงามไปด้วยหมู่ไม้น้อยใหญ่ ร่มรื่นอยู่ตลอดเวลาชั่วนาตาปี ยังมีสะพานเชื่อมช่องเขาขาด สำหรับนักท่องเที่ยวยืนชมความงดงามแห่งทัศนียภาพของออบหลวง นอกจากนั้นภายในบริเวณอุทยานฯ ยังมีการขุดค้นพบแหล่งโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ด้วย

 สถานที่ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว ท่องเที่ยว
ออบหลวง
ท่องเที่ยว


หน่วยพัฒนาต้นน้ำหน่วยที่ 6 (แม่โถ)

ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ 160 กม. อยู่ ต.บ่อสลี อ.ฮอด ตามเส้นทางสายฮอด-แม่สะเรียง ถึง กม.ที่ 55 แล้วแยกเข้าเส้นทางไปแม่โถอีก 16 กม.
สถานที่ท่องเที่ยว ได้แก่ บ่อน้ำแร่ (ตรงทางแยกเข้า อำเภอแม่แจ่ม) สวนสนบ่อแก้ว (กม.ที่ 36) หมู่บ้านชาวเขาเผ่าม้ง (แม้ว) และกะเหรี่ยง ทัศนียภาพโดยรอบ และแปลงทดลองปลูกไม้ดอกเมืองหนาว ฯลฯ


ทะเลสาบดอยเต่า

ดอยเต่าเป็นอำเภอของเชียงใหม่ อยู่ห่างจากตัวเมืองไปตามถนนเชียงใหม่-ฮอด-ดอยเต่า ระยะทางประมาณ 133 กม. ที่ดอยเต่ามีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ซึ่งอยู่เหนือเขื่อนภูมิพล เคยใช้ในการเกษตรกรรมด้านการประมง
ในบริเวณอ่างเก็บน้ำ มีบริการแพพักและเรือนำเที่ยว ซึ่งนำชมแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เช่น น้ำตกอุ่มแป๋ ผาวิ่งชู พระธาตุดอยเกิ้ง ฯลฯ (สถานที่เหล่านี้ ชมได้ทางเรือเท่านั้น) ค่าเช่าเรือหางยาวประมาณ 800-1,000 บาท ใช้เวลาประมาณ 1 วัน นอกจากนี้ยังมีเรือนำเที่ยวจากเขื่อนภูมิพล มายังอ่างเก็บน้ำดอยเต่า แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำว่าจะมากพอหรือไม่

วัดพระธาตุดอยกองมู


พระธาตุดอยกองมู ปูชนียสถานคู่เมือง

เดิมชื่อวัดปลายดอย เป็นวัดแห่งแรกที่สร้างขึ้นในแม่ฮ่องสอน ต่อมา เปลี่ยนชื่อเป็น วัดพระธาตุดอยกองมูตามนามพระธาตุ นับเป็นวัดที่มีความสำคัญมากที่สุดวัดหนึ่งในแม่ฮ่องสอน เป็นศูนย์รวมศรัทธาของชาวเมือง กล่าวกันว่าใครที่มาแม่ฮ่องสอนแล้วไม่ได้ไปที่นี่ถือว่า ยังมาไม่ถึง นอกจากเป็นศาสนสถานสำคัญแล้วยังเป็นจุดชมทิวทัศน์เมืองแม่ฮ่องสอนด้วย



ที่ตั้ง
บนดอยกองมู ห่างจากใจกลางเมือง 1.6 กม. นอกจากมีถนนขึ้นไปถึงยอดดอยกองมูแล้ว สามารถเดินขึ้นทางเดินเท้า จากบริเวณสิงห์คู่ขนาดใหญ่ด้านหลังวัดพระนอน ไปยังองค์พระธาตุได้

มุมมองเมืองแม่ฮ่องสอน จากดอยกองมู

สิ่งน่าสนใจ

พระธาตุเจดีย์องค์ใหญ่ จองต่องสู้ ซึ่งเป็นพ่อค้าชาวไทยใหญ่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2403 เป็นเจดีย์ทรงเครื่องแบบมอญ ประดับลวดลายปูนปั้น ตั้งอยู่บนฐานแปดเหลี่ยมซ้อนกันสามชั้น บริเวณฐานชั้นล่างสุดประดับด้วยซุ้มพระตามทิศทั้งแปด

วิหาร อยู่ติดกับพระธาตุเจดีย์องค์ใหญ่ซึ่งสร้างขึ้นพร้อมกับวิหาร มีลักษณะเป็นอาคารเปิดโล่ง ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หลังคาซ้อนสามชั้น มุงด้วยกระเบื้องไม้ และตกแต่งโลหะฉลุลวดลายประณีตงดงามตามแบบศิลปะไทยใหญ่

พระธาตุเจดีย์องค์เล็ก พญาสิงหนาทราชาเจ้าผู้ครองเมืองแม่ฮ่องสอนคนแรกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2417 เป็นที่บรรจุพระธาตุของพระโมคคัลลานะเถระซึ่งอัญเชิญมาจากพม่า และเพื่อเป็นที่ระลึกในการขึ้นครองเมืองแม่ฮ่องสอน องค์พระธาตุเป็นเจดีย์ทรงเครื่องแบบมอญ ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนสามชั้น ตรงมุมทั้งสี่ของฐานมีรูปสิงห์ปูนปั้นประดับอยู่และทำซุ้มพระแบบศิลปะมอญ ซุ้มประธานพิเศษกว่าซุ้มอื่นคือทำเป็นยอดปราสาทสามยอด ประดับลวดลายปูนปั้นงดงามมาก

จุดชมทิวทัศน์ เป็น สถานที่ชมทัศนียภาพเมืองแม่ฮ่องสอนที่สวยงาม ถ้าเดินวนจากซ้ายมือจะพบศาลาชมทิวทัศน์ด้านสนามบิน จากนั้นเดินลงบันไดไปจะเห็นทิวทัศน์ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน หนองจองคำ วัดจองคำและวัดจองกลาง จุดสุดท้ายอยู่บริเวณศาลา ที่มีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ สามารถมองเห็นเทือกเขาถนนธงชัยเป็นขุนเขาสลับซับซ้อนสุดลูกหูลูกตา

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เที่ยวชมวัฒนธรรมมอญ ที่เกาะเกร็ด
นครปฐม

การล่องเรือชมวิถีชีวิตชุมชนมอญเกาะเกร็ด เริ่มต้นที่ท่าน้ำวัดปรมัยยิกาวาส สัญลักษณ์ของวัดคือ พระเจดีย์มุเตา เป็นเจดีย์ทรงรามัญ ก่อนลงเรืออาจแวะชมภาพจิตรกรรมแบบตะวันตกและงานฝีมือแบบมอญ ในพิพิธภัณฑ์ของวัด เรือจะพาล่องต่อไปตามแม่น้ำอ้อมเกร็ด ซึ่งเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิม ด้านตะวันตกของเกาะเป็นเขตสวนผลไม้ และแปลงปลูกผักปลอดสารพิษ ไม่ควรพลาดแวะ คลองขนมหวาน หรือคลองบางบัวทอง ชมการทำขนมไทย ชิมและเลือกซื้อหาเป็นของฝาก ช่วงแม่น้ำลัดเกร็ด จะได้เห็น “บ้านมอญขวาง” ซึ่งปลูกขวางแนวแม่น้ำ เรียงรายกันอยู่ค่อนข้างหนาแน่น เมื่อขึ้นเรือที่ท่าน้ำวัดปรมัยยิกาวาส อาจเดินไปชมพิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผามอญโบราณ บ้านกวานอาม่าน (หมู่บ้านช่างปั้น) หรือเดินต่อไป ชมโรงปั้น และเลือกซื้อหาของฝากจากแหล่งผลิต มื้อเที่ยงอย่าลืมแวะลิ้มลองอาหารมอญ โดยเฉพาะที่ทำจากหน่อกะลา เช่น ทอดมัน แกงส้ม ก๋วยเตี๋ยวหมู หากไปเที่ยวเกาะเกร็ดช่วงสงกรานต์ ก็จะได้ชิม ข้าวแช่ กะละแม และคะนอมจิน อาหารมอญโบราณ

วัดปรมัยยิกาวาส
ศิลปกรรมสำคัญในวัด ได้แก่ พระมหารามัญเจดีย์ เป็นเจดีย์ทรงรามัญ ที่ลานหลังพระอุโบสถ รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างจำลองแบบจากพระเจดีย์มุเตา เมืองหงสาวดี พระอุโบสถ ตกแต่งด้วยวัสดุจากอิตาลี ตามศิลปะพระราชนิยมในรัชกาลนี้ ภายในยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง เขียนแบบสามมิติ (perspective) แบบตะวันตก พิพิธภัณฑ์วัดปรมัยยิกาวาส จัดแสดงศิลปกรรมมอญที่หาชมได้ยาก ได้แก่ งานแกะดุนโลหะ ยอดฉัตรพระมหารามัญเจดีย์ และงานเครื่องกระดาษ เช่น เหมหรือโลงศพ สำหรับงานศพพระเถระ เชิงบันไดทางขึ้นพิพิธภัณฑ์ มีโอ่งดินเผา เป็นฝีมือช่างเกาะเกร็ด ปั้นเมื่อปี พ.ศ. 2468 พิพิธภัณฑ์ฯ เปิดเฉพาะเสาร์ – อาทิตย์

เส้นทางแนะนำ
ล่องเรือชมวัด ชุมชนมอญเกาะเกร็ด (ใช้เวลาครึ่งวัน)
นั่งเรือชมรอบเกาะ เพื่อสัมผัสความงดงามของบ้านเรือน และวัดสำคัญของชุมชนชาวมอญ รวมทั้งความร่มรื่นเขียวขจีของเรือกสวน แวะเข้าไปชมการทำขนมไทยที่คลองขนมหวาน จากนั้น ชมเส้นทางเครื่องปั้นดินเผาอันเลื่องชื่อของเกาะเกร็ด แล้วอิ่มอร่อยกับอาหารพื้นบ้านแบบมอญก่อนเดินทางกลับ

นั่งเรือรอบเกาะเกร็ด
มีเรือข้ามฟากที่วัดสนามเหนือ ข้ามมาที่ท่าน้ำวัดปรมัยยิกาวาส หากจะนั่งเรือรอบเกาะ มีเรือหางยาว นั่งได้ประมาณ 8 คน เหมาลำลำละ 500 บาท แต่แวะคลองขนมหวาน ราคา 700 บาท เรือเล็กเช่าจากปากเกร็ด เข้าคลองขนมหวาน ราคา 150 – 200 บาท

ล่องคลองบางใหญ่
จากท่าน้ำนนทบุรี มีเรือท้องแบนวิ่งเส้นทางนนทบุรี - คลองอ้อม - คลองใหญ่ ตั้งแต่ 4.00 - 20.00 น. ค่าโดยสาร 6 บาท ใช้เวลา 15-20 นาที

วิธีการเดินสมาธิหรือเดินจงกรม

เลือกสถานที่ยาวประมาณ 5 เมตร ถึง 10 เมตร แล้วแต่ความกว้างของสถานที่ และความรู้สึกพอดี บางทียาวนักก็ไม่ดี เหนื่อย บางครั้งสั้นไปก็ทำให้เวียนหัว หันหน้าไปทางเดินจงกรม แต่อย่ามองไกลเกินไป มองทอดสายตาดู ไปข้างหน้าประมาณ 4 ก้าวเพื่อไม่ให้จิตใจวอกแวก แต่ไม่ใกล้เกินไป จนรู้สึกปวดต้นคอ มือซ้ายมาวางที่หน้าท้องและมือขวามาวางทับ เพื่อป้องกันแขนแกว่งขณะเดิน และดูสวยงาม

เมื่อได้ท่าที่พอดีแล้วก็เดินก้าวขาขวาไป ก็นึกคำว่า "พุท" และเมื่อก้าวขาซ้ายไปก็นึก คำว่า "โธ" เวลาเดินไม่หลับตาแต่ให้ลืมตา และกำหนดสัมผัสของเท้าที่ก้าวเหยียบลงพื้น เดินว่าพุทโธไปเรื่อย พอถึงปลายทาง เดินก็หยุดนิดหนึ่ง แล้วก็หันกลับด้านขวามือ มาทางเดิม และเดินว่าพุทโธต่อไป อย่าเร็วเกินไป หรือช้าเกินไป กำหนดจิตของเราอยู่ที่ก้าวเดินและคำภาวนา ไม่ให้จิตวอกแวก

สิ่งสำคัญคือ การกำหนดจิตให้ทันการเคลื่อนไหว ส่วนการเดินเป็นเพียงส่วนประกอบเท่านั้น เราควรทำอย่างน้อย 30 นาที และจะดีมากขึ้นถ้าตามด้วยการนั่งสมาธิ เพราะการเดินจงกรม เป็นการเปลี่ยนอิริยาบท ปล่อยอารมณ์ และเตรียมร่างกายให้พร้อมสู่การนั่งสมาธิ

ประวัติวัดพระศรีอารย์

วัดพระศรีอารย์ มีอายุประมาณ ๒๖๐ ปี เป็นวัดเก่าแก่สร้าง มาแต่สมัยปลายกรุงศรีอยุธยา เดิมวัดพระศรีอารย์ ชื่อ วัดสระอาน สันนิษฐานว่า วัดพระศรีอารย์ได้เริ่มก่อสร้างเมื่อ ประมาณปี ๒๒๗๕ ซึ่งแต่ก่อนเป็นวัดสร้างยังไม่มี พระภิกษุ มาอยู่จำพรรษา เป็นวัดเก่าที่มีมาช้านาน มีผู้พบอุโบสถก่ออิฐ ถือปูน ขนาดกว้าง ๔ เมตร ยาว ๙ เมตร เป็น อุโบสถมหาอุด มีทางเข้าด้านหน้าเพียงด้านเดียว มีสระน้ำโบราณอยู่คู่กับ อุโบสถด้านทิศเหนือ

ขณะที่ค้นพบมีสภาพ เก่าและชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างมาก ภายในอุโบสถมีพระประธานที่เก่าแก่ เป็นอิฐเผาถือปูน บริเวณรอบๆ อุโบสถเป็นป่ามีต้นไม้น้อยใหญ่ขึ้นปกคลุมอยู่ จนถึงประมาณปี ๒๔๗๕ เริ่มมีพระภิกษุเข้ามาพักจำพรรษา เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ในปี ๒๕๐๐ ได้เปลี่ยนชื่อจาก วัดสระอาน มาเป็น วัดพระศรีอารย์

วัดศรีอารย์ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันได้ทำหน้าที่ เป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชนตลอดมา และได้สร้าง อุโบสถหลังใหม่ขึ้น เป็นสถาปัตยกรรมที่ทรงคุณค่า มีความวิจิตรตระการตา ประดับด้วยลายปูน ปั้นในรูปลักษณ์ต่างๆ อย่างงดงาม มั่นคง อย่างลงตัวทั้งหลัง

อุโบสถ ทองคำร้อยล้านก่อสร้างเมื่อปี ๒๕๑๐ โดย พระครูสิริพัฒนกิจ (หลวงพ่อขันธ์ กนฺตธโร) อดีตเจ้าวัดพระศรีอารย ์ เป็นผู้ริเริ่ม และได้รับ พระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๐ การก่อสร้าง อุโบสถครั้งนี้ เพื่อใช้เป็น สถานที่ประกอบพิธีกรรมของภิกษุสงฆ์ อีกทั้ง ยังเป็น กาาแสดงถึงมรดกของไทย ด้านศิลปกรรม และจิตรกรรม

อุโบสถทำ จากคอนกรีตเสริมเหล็ก ขนาดกว้าง ๑๘ เมตร ยาว ๔๐ เมตร ประดับด้วยลวดลายรูปปั้น เป็นฝีมือช่างพื้นบ้าน อุโบสถหลังใหม่นี้ไม่มี แบบสำเร็จรูป เป็นการสร้างตามแบบที่หลวงพ่อขันธ์ ต้องการ และที่ สำคัญไม่มีการตอกเสาเข็ม เพราะ ในสมัยนั้น การก่อสร้างในต่างจังหวัด ยังไม่มีการ ตอกเสาเข็ม เพียงแต่นำหินมาถมและเทคานรองรับเพื่อสร้างตัวอุโบสถได้เลย

ช่างผู้รับงานก่อสร้างเป็นคนบ้านพระศรีอารย์ ส่วนแรงงานเป็นการลงแรงของคนในชุมชน และใกล้เคียง การก่อสร้าง

ส่วน มากทำในเวลาที่ว่างจากงานประจำของชาวบ้าน กระทั่งในปี ๒๕๑๗ เกิดน้ำท่วมใหญ่ ทำให้ชาวบ้านหวั่นวิตกว่า อุโบสถที่อยู่ระหว่าง ก่อสร้างจะพังลงมา เพราะไม่มีเสาเข็ม แต่หลัง จากน้ำลดลงแล้ว ไม่ปรากฏความเสียหายใดๆ

การก่อสร้างต้องหยุดชะงักลงระยะหนึ่ง เมื่อหลวงพ่อขันธ์มรณภาพ พระครูวิทิตพัฒนโสภณ (สง่า ฐานิสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดพระศรีอารย์ รูปปัจจุบันได้เป็นผู้สานต่องานทั้งหมด

ต่อมา นายประเสริฐ อรชร ได้เข้ามารับช่วงการก่อสร้างต่อ จึงได้ดำเนินการเทคานรอบตัวอาคาร อีกครั้ง เพื่อความมั่นคง

การ ก่อสร้างในสมัยที่นายประเสริฐเข้ามารับงานนี้ เป็นการตกแต่งเพื่อความสมบูรณ์มากกว่า เพราะโครงสร้างของอาคาร ได้เสร็จก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้น งานใหญ่ที่สำคัญคือ การติดลายปูนปั้นต่าง ทั้งภายในและรอบนอกอุโบสถ

ส่วนพระประธานในอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปะพม่า สร้างด้วยหยกขาวทั้งองค์ โดยมี หลวงพ่ออุตตมะ (พระราชสังวรอุดม) วัดวังก์วิเวการาม จ.กาญจนบุรี เป็นประธานในการอัญเชิญ มาประดิษฐานไว้ ณ อุโบสถร้อยล้านหลังนี้ เมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๓๖

ภายในติดกระจก ลงรักปิดทองบานประตู หน้าต่าง แกะสลักเรื่อง พุทธประวัติ ฝาผนัง แต่งแต้มด้วย จิตรกรรม เรื่องพระมหาชนก พระเจ้า ๕ พระองค์ พระประธานในอุโบสถ สร้างจากหินหยกขาว ซึ่งหลวงพ่อ อุตตมะ แห่งวัดวังวิเวการาม จ.กาญจนบุรี เมตตาอธิฐานจิต อัญเชิญมา จากประเทศพม่า มาประดิษฐานที่ประเทศไทย ณ อุโบสถวัดพระศรีอารย์

และ การก่อสร้างอุโบสถทองคำร้อยล้าน วัดได้รับการถวายประตูอุโบสถจาก นายเกรียงไกร เชษฐโชติศักดิ์ ประธานบริษัท อาร์.เอส.โปรโมชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นจำนวนเงิน ๑ ล้านบาท หลังจากนั้นทุกปีนายเกรียงไกรก็จะมาช่วยงาน ที่วัดพระศรีอารย์เป็นประจำ

อย่าง ไรก็ตาม ประชาชนที่มาชมอุโบสถทองคำร้อยล้านแห่งนี้แล้ว ยังจะมีโอกาสได้กราบสักการะร่าง ของหลวงพ่อขันธ์ที่ ไม่เน่าเปื่อยอยู่ในโลงแก้วอีกด้วย ผู้สนใจสอบถามเส้นทางไปวัดพระศรีอารย์ หมู่ ๙ ต.บ้านเลือก อ.โพธาราม จ.ราชบุรี โทร.๐-๓๒๒๓-๒๕๙๕, ๐-๓๒๒๓-๑๓๕๑, ๐-๑๗๖๓-๗๖๘๘

ใครที่เคยเข้าค่ายมาแล้ว คงจะรู้ดี ว่าเป้นค่ายที่ดีมาก ถึงมากที่สุด ที่ทำให้เราเข้าใจถึงหลักคำสั่งสอน ของพระพุทธองค์