วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คุณรู้หรือไม่ว่า

คุณรู้หรือไม่ว่าชนชาติใดที่ฉลาดที่สุดในโลก ? 
และชนชาติใดที่หน้าตาดีที่สุด ?

1. มนุษย์มีทั้งหมด 3 เผ่าพันธุ์หลัก คือ
- คอเคซอยด์ เช่น ฝรั่ง, เเขกขาว, ละติน
- มองโกลอยด์ เช่น เอเชียตะวันออก, เเขกดำ, อินเดียนเเดง, เอสกิโม
- นิกรอยด์

2. ชนชาติที่มีสายพันธุ์เเละลักษณะทางกายภาพใกล้เคียงกับคนไทยแท้ที่สุดคือ "ลาว" เป็นมองโกลอยด์สาย "เซียมมอยด์" เหมือนกัน

3. แขกขาวคือ ฝรั่ง (คอเคซอยด์) สายพันธุ์หนึ่ง แต่ตัวเล็กกว่าและขนเยอะกว่าฝรั่งทั่วไป

4.แขกดำ คือ มองโกลอยด์ (คนเอเชีย) ผสมกับนิโกร แขกดำของแท้แทบไม่มีขน มีดั้งเล็กน้อย ดาราอินเดียที่เห็นสวย ๆ คล้ำ ๆดั้งโด่ง ๆ อย่างพิงกี้ คือ แขกดำมาผสมกับแขกขาวอีกที

5. นิกรอยด์ (นิโกร) เป็นสายพันธุ์ที่มียีนแรงที่สุด
- ถ้าเเต่งกะคอเคซอยด์ (ฝรั่ง) ลูกจะออกมาดำแต่ยังพอมีเชื้อคอเคซอยด์บ้าง
- ถ้าแต่งกะมองโกลอยด์ (เอเชีย) ยีนมองโกลอยด์จะถูกลบออกหมดเลย
**ดาราฝรั่งที่เราเห็นผิวคล้ำๆ (ไม่ถึงกับดำเหมือนนิโกร) หน้าสวย ๆ อย่างบียอนเซ่หรือ ฮัลลี่ เบอร์รี่ นี่ไม่ใช่ลูกครึ่งนิโกร แต่เป็นลูกเสี้ยวของเสี้ยวของเสี้ยวนิโกรอีกที

6. ถ้าทั่วโลกมีมนุษย์แต่ละสายพันธุ์จำนวนเท่ากันมองโกลอยด์ (พวกเรานี่เเหล่ะ) จะสูญพันธุ์ไวที่สุด เพราะมียีนอ่อนที่สุด แต่งกับพันธุ์ไหนก็จะถูกกลบเเทบหมด

7. มองโกลอยด์เป็นสายพันธุ์ที่มีไอคิวเฉลี่ยสูงที่สุด (สบายใจได้คงไม่สญพันธุ์ง่ายๆ) แต่ (อ่านข้อต่อไป)

8. หากเเบ่งย่อยออกไปอีก "ยิว" (คอเคซอยด์สายพันธุ์หนึ่ง) จะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดที่สุดในโลก
- ยิว IQ อย่างต่ำ117 (เฉลี่ย IQ 127) หมายถึงชาวยิวที่ IQ 117 จริงๆ นั้นมีเป็นส่วนน้อย ชาวยิวส่วนใหญ่ IQ สูงกว่านี้ !!!!!!

9. IQ เฉลี่ยของคนเชื้อสายต่าง ๆ
- ยิว IQ 117
- เอเชีย(ตะวันออก) IQ 107
- ยุโรปผิวขาว IQ 103
- ละติน IQ 90
- นิโกร IQ 85
- ชนพื้นเมือง IQ 87 - 89

10. ชนชาติที่หน้าตาดีที่สุด
- โลกตะวันตกยกให้แขกขาวเป็นชนชาติที่งามที่สุด เขาถือกันว่าแขกขาวคือฝรั่งพวกหนึ่ง (อพยพมาจากตอนใต้ของรัสเซีย) ที่ถูกคัดสรรมาแล้วให้งามกว่าฝรั่งทั่วไป ตัวเล็กกว่า คิ้วเข้ม ตาสวยกว่า (ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่คนอีกน่ะแหล่ะ ไม่ใช่จะสวยกันทั้งตระกูล)

11. ลูกครึ่งมักจะหน้าตาดีเเละฉลาดกว่าคนทั่วไป
- ถูกต้อง ยิ่งยีนต่างพันธุ์กันมากเท่าไหร่หรือผสมกันหลายชาติมากเท่าไหร่จะยิ่งสวยเเละฉลาดมากเท่านั้น เพราะยีนที่ต่างกันจะทำให้เกิด cross breed คือ ยีนเด่นจะออกมามากกว่ายีนด้อย ยีนด้อยจะถูกลบออกไปมากกว่าคนทั่วไป

12. อาจมีบางคนสงสัยว่าทำไมชาวยิวจึงมี IQ สูงมาก ขอตอบว่า ในประวัติอันยาวนานของชาวยิวนั้น มีกระบวนการที่คล้าย ๆ กับการบำรุงพันธ์สัตว์ในปัจจุบัน กล่าวคือ ส่งเสริมคนฉลาดและเหมือนเป็นการผลักไล่ไสส่งคนโง่ทางอ้อมให้ไปอยู่กับฝรั่งที่ชาวยิวเรียกอย่างดูถูกว่าพวกเจนไต (นอกศาสนา นอกรีต) โดยมีศาสนายูดายเป็นตัวจักรสำคัญ เพราะชาวยิวต้องพยายามทำความเข้าใจในคำสอนของศาสนา ผู้ที่แตกฉานสังคมจะให้การเคารพย่อง เมื่อเป็นดังนี้สาว ๆ ชาวยิวจึงนิยมแต่งงานกับคนพวกนี้ ทำให้ลูกหลานรุ่นต่อ ๆ มาของชาวยิวเต็มไปด้วยเด็กฉลาด ศาสนายูดายยังให้ชาวยิวแต่งงานกับชาวยิวด้วยกันเอง ความฉลาดจึงจำกัดอยู่ในชนเชื้อสายยิวเท่านั้น

คุณรู้หรือไม่ว่า

คุณรู้หรือไม่ว่าชนชาติใดที่ฉลาดที่สุดในโลก ? 
และชนชาติใดที่หน้าตาดีที่สุด ?

1. มนุษย์มีทั้งหมด 3 เผ่าพันธุ์หลัก คือ
- คอเคซอยด์ เช่น ฝรั่ง, เเขกขาว, ละติน
- มองโกลอยด์ เช่น เอเชียตะวันออก, เเขกดำ, อินเดียนเเดง, เอสกิโม
- นิกรอยด์

2. ชนชาติที่มีสายพันธุ์เเละลักษณะทางกายภาพใกล้เคียงกับคนไทยแท้ที่สุดคือ "ลาว" เป็นมองโกลอยด์สาย "เซียมมอยด์" เหมือนกัน

3. แขกขาวคือ ฝรั่ง (คอเคซอยด์) สายพันธุ์หนึ่ง แต่ตัวเล็กกว่าและขนเยอะกว่าฝรั่งทั่วไป

4.แขกดำ คือ มองโกลอยด์ (คนเอเชีย) ผสมกับนิโกร แขกดำของแท้แทบไม่มีขน มีดั้งเล็กน้อย ดาราอินเดียที่เห็นสวย ๆ คล้ำ ๆดั้งโด่ง ๆ อย่างพิงกี้ คือ แขกดำมาผสมกับแขกขาวอีกที

5. นิกรอยด์ (นิโกร) เป็นสายพันธุ์ที่มียีนแรงที่สุด
- ถ้าเเต่งกะคอเคซอยด์ (ฝรั่ง) ลูกจะออกมาดำแต่ยังพอมีเชื้อคอเคซอยด์บ้าง
- ถ้าแต่งกะมองโกลอยด์ (เอเชีย) ยีนมองโกลอยด์จะถูกลบออกหมดเลย
**ดาราฝรั่งที่เราเห็นผิวคล้ำๆ (ไม่ถึงกับดำเหมือนนิโกร) หน้าสวย ๆ อย่างบียอนเซ่หรือ ฮัลลี่ เบอร์รี่ นี่ไม่ใช่ลูกครึ่งนิโกร แต่เป็นลูกเสี้ยวของเสี้ยวของเสี้ยวนิโกรอีกที

6. ถ้าทั่วโลกมีมนุษย์แต่ละสายพันธุ์จำนวนเท่ากันมองโกลอยด์ (พวกเรานี่เเหล่ะ) จะสูญพันธุ์ไวที่สุด เพราะมียีนอ่อนที่สุด แต่งกับพันธุ์ไหนก็จะถูกกลบเเทบหมด

7. มองโกลอยด์เป็นสายพันธุ์ที่มีไอคิวเฉลี่ยสูงที่สุด (สบายใจได้คงไม่สญพันธุ์ง่ายๆ) แต่ (อ่านข้อต่อไป)

8. หากเเบ่งย่อยออกไปอีก "ยิว" (คอเคซอยด์สายพันธุ์หนึ่ง) จะเป็นเผ่าพันธุ์ที่ฉลาดที่สุดในโลก
- ยิว IQ อย่างต่ำ117 (เฉลี่ย IQ 127) หมายถึงชาวยิวที่ IQ 117 จริงๆ นั้นมีเป็นส่วนน้อย ชาวยิวส่วนใหญ่ IQ สูงกว่านี้ !!!!!!

9. IQ เฉลี่ยของคนเชื้อสายต่าง ๆ
- ยิว IQ 117
- เอเชีย(ตะวันออก) IQ 107
- ยุโรปผิวขาว IQ 103
- ละติน IQ 90
- นิโกร IQ 85
- ชนพื้นเมือง IQ 87 - 89

10. ชนชาติที่หน้าตาดีที่สุด
- โลกตะวันตกยกให้แขกขาวเป็นชนชาติที่งามที่สุด เขาถือกันว่าแขกขาวคือฝรั่งพวกหนึ่ง (อพยพมาจากตอนใต้ของรัสเซีย) ที่ถูกคัดสรรมาแล้วให้งามกว่าฝรั่งทั่วไป ตัวเล็กกว่า คิ้วเข้ม ตาสวยกว่า (ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่คนอีกน่ะแหล่ะ ไม่ใช่จะสวยกันทั้งตระกูล)

11. ลูกครึ่งมักจะหน้าตาดีเเละฉลาดกว่าคนทั่วไป
- ถูกต้อง ยิ่งยีนต่างพันธุ์กันมากเท่าไหร่หรือผสมกันหลายชาติมากเท่าไหร่จะยิ่งสวยเเละฉลาดมากเท่านั้น เพราะยีนที่ต่างกันจะทำให้เกิด cross breed คือ ยีนเด่นจะออกมามากกว่ายีนด้อย ยีนด้อยจะถูกลบออกไปมากกว่าคนทั่วไป

12. อาจมีบางคนสงสัยว่าทำไมชาวยิวจึงมี IQ สูงมาก ขอตอบว่า ในประวัติอันยาวนานของชาวยิวนั้น มีกระบวนการที่คล้าย ๆ กับการบำรุงพันธ์สัตว์ในปัจจุบัน กล่าวคือ ส่งเสริมคนฉลาดและเหมือนเป็นการผลักไล่ไสส่งคนโง่ทางอ้อมให้ไปอยู่กับฝรั่งที่ชาวยิวเรียกอย่างดูถูกว่าพวกเจนไต (นอกศาสนา นอกรีต) โดยมีศาสนายูดายเป็นตัวจักรสำคัญ เพราะชาวยิวต้องพยายามทำความเข้าใจในคำสอนของศาสนา ผู้ที่แตกฉานสังคมจะให้การเคารพย่อง เมื่อเป็นดังนี้สาว ๆ ชาวยิวจึงนิยมแต่งงานกับคนพวกนี้ ทำให้ลูกหลานรุ่นต่อ ๆ มาของชาวยิวเต็มไปด้วยเด็กฉลาด ศาสนายูดายยังให้ชาวยิวแต่งงานกับชาวยิวด้วยกันเอง ความฉลาดจึงจำกัดอยู่ในชนเชื้อสายยิวเท่านั้น

อย่าให้ "บิ๊กอายส์" ทำลายตา

อยากสวยแบ๊วแบบหนุ่มสาวเกาหลี "บิ๊กอายส์" จึงขายดิบขายดีและมีราคาถูกมากจนน่าใจหายอันตรายคืบคลานเข้าใกล้ตาแต่พวกเรายังชะล่าใจ
ดังที่ว่า "ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ" มัน จึงเป็นสิ่งมีค่าและสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์อวัยวะชิ้นนี้มีกลไกการทำ งานที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อน เป็นระบบประสาทที่ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับประสาทรับความ รู้สึกอื่นๆ
แต่ตราบใดที่เรายังมองเห็นได้ดี ไม่มีโรคตามมากวดหัวใจ เราจึงมักละเลยที่จะดูแลรักษาให้ตาอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดีให้นานที่สุด แถมยังใช้สายตาไม่ถูกต้องด้วย จึงทำให้ประสิทธิภาพในการมองเห็นลดลงเรื่อยๆ แต่พวกเราไม่รู้ตัว ยิ่งตอนนี้กระแส "ตาแบ๊ว" ไม่ใช่แค่แฟชั่นมาประเดี๋ยวก็ไป แต่มันกำลังจะหยั่งรากฝังลึกในดวงตาทุกคู่
ดร.ดนัย ตันเกิดมงคล หัวหน้าสาขาวิชาทัศนมาตรศาสตร์ สถาบันวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เล่าให้เราฟังว่าในแต่ละปี เยาวชนใส่คอนแทคเลนส์เพิ่มขึ้นจำนวนมากโดยไม่คำนึงเรื่องคุณภาพ และรู้สึกเอาเองว่าใช้ได้เหมือนสินค้าทั่วไป แต่ความจริงแล้วคอนแทคเลนส์เป็นเครื่องมือแพทย์ มันต้องทำให้เราใช้สายตาได้เต็มประสิทธิภาพ ไม่ใช่เพื่อความสวยงามเป็นหลัก
คอนแทคเลนส์สีหรือที่เรียกกันว่า บิ๊กอายส์ นั้นจัดอยู่ในหมวดคอสเมติก ถูกสร้างมาเป็นพิเศษด้วยการใส่เม็ดสีที่สามารถพรางสีม่านตาเดิมให้เป็นสีที่ ต้องการได้ จึงใส่ไม่สบายเท่าคอนแทคเลนส์ชนิดอื่นๆ และเนื่องจากมันไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้งานในชีวิตประจำวัน จึงมีอัตราการซึมผ่านของออกซิเจนน้อยกว่า ฉะนั้นเมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีแสงสว่างน้อย รูม่านตาขยายเกินขอบเขตของช่อง ทำให้การมองเห็นอาจมีประสิทธิภาพด้อยลง
ที่น่าตกใจไปกว่านั้น คือผลกระทบระยะยาวมากกว่า เพราะการใช้คอนแทคเลนส์สีแบบผิดๆ และใช้สินค้าด้อยคุณภาพ อาจทำให้ติดเชื้อและลุกลามเรื้อรังในหนังตาและสุขภาพกระจกตาเสื่อมก่อนวัย
คุณนพพร ภัทรรุจี ผู้อำนวยการฝ่ายการค้าบริษัท ซีบาวิชั่น (ประเทศไทย) จำกัด อธิบายเสริมว่าคนใส่คอนแทคเลนส์ มีไลฟ์สไตล์ ใช้สายตาอย่างหนักหน่วงมากเกินไป พวกเขาใส่มันนานกว่า 8-10 ชั่วโมงและอยู่กับวัสดุที่ไม่สามารถส่งผ่านออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเซลล์กระจก ตาได้เพียงพอ
จึงเป็นที่มาของภาวะ การขาดออกซิเจนของกระจกตา นำมาซึ่งภาวะกระจกตาชราเกินวัย โดยจะมีอาการตาแดงโดยไม่ทราบสาเหตุระคายเคือง มองเห็นภาพมัว หรือแสงรุ้งรอบดวงไฟ มองภาพไม่ชัดเจน เหมือนสายตาสั้น เพิ่มขึ้นเพราะกระจกตาบวม จนไม่สามารถทนใส่คอนแทคเลนส์ได้นาน หรือไม่ได้เลยในที่สุด
ฉะนั้น ก่อนที่หนุ่มสาวๆ ทั้งหลายจะ "แอ๊บแบ๊ว" ดร.ดนัยบอกทางป้องกันไว้ว่า ผู้ใส่ต้องมีกฎเหล็ก เมื่อตัดสินใจใส่คอนเทคเลนส์ควรแวะไปให้จักษุแพทย์หรือนักทัศนมาตรวิเคราะห์ ความเหมาะสม หรือข้อจำกัดเฉพาะตัวก่อน เช่น บางคนกระจกตาบางมาก จึงไม่เหมาะกับคนแทคเลนส์ชนิดใดเลย หรือคนที่สายตาเอียงต้องใช้คอนแทคเลนส์สำหรับสายตาเอียง เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัดขึ้น เป็นต้น
เมื่อไร้ปัญหาใดๆ ก็ควรเลือกเลนส์ที่มีการรับรองทางการแพทย์ ครั้นใส่แล้ว ก่อนนอนก็ต้องถอดออก และทำความสะอาดอย่างเคร่งครัด
"พยายาม หาวัสดุที่สามารถให้ออกซิเจนผ่านตาได้สูง และอย่าใช้คอนแทคเลนส์ผิดประเภท เช่นรายเดือนก็ต้องใช้เพียงเดือนเดียวแล้วทิ้ง หรืออย่าแลกใส่กับเพื่อน และอย่าเปลี่ยนแบรนด์บ่อยหากใช้ยี่ห้อไหนแล้วดีกับตัวเองก็อย่าเผลอใจไปกับ โปรโมชั่นเจ้าอื่น และถ้าตามีปัญหา ก็อย่าทนให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน" ผู้เชี่ยวชาญด้านดวงตากล่าว
เทคนิคยืดดวงตา
- สวมแว่นสายตาให้เหมาะสมกับสายตาหากปล่อยทิ้ง คนสายตาสั้นอาจทำให้เกิดตาเหล่ออก คนสายตายาวจะตาเหล่เข้า
- ใส่แว่นตาเป็นประจำ จะทำให้สายตาคงที่ หรือเปลี่ยนแปลงช้าลง
- ใช้น้ำยาล้างคราบโปรตีนทุกเดือนไม่เปลี่ยนยี่ห้อน้ำยาล้างบ่อยๆ
- พักสายตา 5-10 นาทีหลังใช้คอมพิวเตอร์ทุกๆ 1 ชั่วโมง
- ระยะอ่านหนังสือไม่ควรใกล้กว่า 40 ซม.
- ห่างจากจอทีวีอย่างน้อย 4 เท่าของขนาดจอ
หมั่นตรวจสายตาอย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อสุขภาพที่ดีระยะยาว

ไมเกรน (migraine) คืออะไร ?

ไมเกรน (migraine) เป็นโรคปวดศีรษะชนิดหนึ่ง อาการปวดเป็นพักๆ เป็นๆ หายๆมีความรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก ระยะเวลาในการปวดแต่ละครั้งประมาณ 8-12 ชั่วโมง บางรายอาจปวดนานถึง 72 ชั่วโมง อาการปวดไมเกรน จะแย่ลงถ้ามีการเคลื่อนไหว ขณะปวดมักมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่มีอาการนำก่อนปวด เช่น เห็นแสงวูบวาบคล้ายแสงแฟลช ตามองไม่เห็นชั่วครู่ ชาข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย อาการนำมักเป็นอยู่ประมาณ 5–20 นาที โรคนี้พบในเพศหญิงมากกว่าชาย เริ่มอาการครั้งแรกในวัยรุ่นหรือหนุ่มสาว อาการเป็นๆ หายๆ ถี่หรือห่างแล้วแต่บุคคลและปัจจัยสภาพแวดล้อม บางคนอาการจะหายไปเมื่ออายุเลยวัยกลางคนไปแล้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเกิดอาการไมเกรนครั้งแรกในช่วงอายุก่อน 30 ปี แต่ผู้ป่วยบางส่วนอาจจะมีอาการครั้งแรกในช่วงอายุ 40-50 ปี ผลกระทบที่สำคัญที่เห็นได้ชัดคือ เสียสุขภาพกาย ต้องทรมานจากความปวด บางรายปวดรุนแรงมากจนแทบอยากจะวิ่งเอาหัวชนฝาผนัง บางรายก็ปวดข้ามวันข้ามคืนจนนอนหลับไม่สนิท บ้างก็คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลียจนเสียสมรรถภาพการเรียนการทำงาน ไมเกรนเป็นโรคหนึ่งที่ทำให้ผู้ที่ทำงานประเภทใช้ความคิดต้องขาดงานเป็นจำนวนมาก ทำให้สูญเสียทางเศรษฐกิจไม่น้อย ถ้าเป็นบ่อยมากเป็นรุนแรงมากๆ ก็ทำให้เสียสุขภาพจิตได้ สาเหตุ สาเหตุและกลไกการเกิดโรคยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด ระยะหลังมานี้มีคณะวิจัยทางด้านจีโนมิกส์ พบว่า ion-transport gene อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคไมเกรน พบว่าระบบประสาทของผู้ที่เป็นไมเกรนไวต่อการเปลี่ยนแปลงในร่างกายและสิ่งแวดล้อมมากกว่าผู้ที่ไม่ได้เป็นไมเกรน เมื่อระบบประสาทมีการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิดการอักเสบของเส้นเลือด และเส้นประสาทรอบๆ สมอง บางทฤษฎีอธิบายจากความผิดปกติที่ระดับสารเคมีในสมอง การสื่อกระแสในสมอง หรือการทำงานที่ผิดปกติไปของหลอดเลือดสมองก็ได้ หลักฐานข้อมูลทางระบาดวิทยา เชื่อว่าไมเกรนถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ แต่จะเกิดอาการหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยทั้งภายในและภายนอกร่างกายที่มากระทบ ไมเกรนเป็นความผิดปรกติในกลุ่มโรคที่มีปัจจัยทางพันธุกรรมร่วมด้วย โดยมีอาการทางระบบประสาทก่อนมีอาการปวดศีรษะไมเกรน เดิมเชื่อว่าเกิดจากหลอดเลือดในสมองมีการหดตัวเกิดขึ้น หลังจากนั้นร่างกายมีการตอบสนองโดยการทำให้หลอดเลือดมีการขยายตัว ซึ่งการขยายตัวของหลอดเลือดนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้น ปัจจัยกระตุ้น อาหาร การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารที่ใส่ผงชูรส ใส่สารถนอมอาหาร อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ สารบางชนิดกระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น คาเฟอีน ช๊อคโกแล็ต ผงชูรส สารไนเตรท สารไทรามีน การนอนหลับ การนอนหลับมากหรือน้อยเกินไปสามารถกระตุ้นให้เกิดอาการปวดได้ จากการทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่าฮอร์โมนเมลาโทนินเกี่ยวข้องกับการขยายและหดตัวของหลอดเลือดในสมอง ฮอร์โมน ผู้หญิงจำนวนมากที่เป็นไมเกรนมักจะมีอาการปวดในช่วงที่มีประจำเดือน และความรุนแรงและระยะเวลาในการปวดมักจะมากกว่าหรือการปวดในช่วงอื่น การตั้งครรภ์ในช่วงเดือนแรกๆ มักจะทำให้อาการปวดไมเกรนแย่ลง สิ่งแวดล้อม อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง เช่น อากาศร้อน ตากแดด กลิ่นบางอย่าง เช่น น้ำหอม ควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ การอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ความหิว มีการศึกษาวิจัยพบว่าความหิวเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ผู้ป่วยเกิดอาการปวดไมเกรนเท่าๆ กับความวิตกกังวล ความโกรธ และภาวะซึมเศร้า ความเครียด ผู้ที่มีความเครียดและไม่สามารถจัดการกับความเครียดในการดำเนินชีวิตประจำวันได้ จะมีโอกาสเกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนได้บ่อยและรุนแรงกว่าผู้ที่ไม่เครียด อาการ อาการปวดศีรษะในโรคไมเกรนมีลักษณะสำคัญ คือ มักมีอาการปวดข้างเดียว เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มีอาการปวดตื้อๆ อาการปวดมักเป็นมาก ปานกลาง ถึงรุนแรง และมักเป็นมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหว ระยะเวลาของอาการปวดเกิดขึ้นได้แตกต่างกันได้มาก อาจพบอาการเบื่ออาหารได้ค่อนข้างบ่อย ส่วนอาการคลื่นไส้พบได้ประมาณร้อยละ 90 ในขณะที่อาการอาเจียนพบในผู้ป่วยประมาณ 1 ใน 3 ภาวะที่ผู้ป่วยไวต่อสิ่งเร้าได้ง่ายขึ้นก็พบได้เช่นกัน ดังนั้น ผู้ป่วยไมเกรนส่วนใหญ่มักอยากอยู่ในห้องมีดและเงียบเพราะจะทำให้อาการปวดศีรษะดีขึ้น การวินิจฉัย การวินิจฉัยไมเกรนอาศัยประวัติและการตรวจร่างกายเป็นสำคัญ ลักษณะอาการปวด ตำแหน่ง ความรุนแรง ความถี่ ระยะเวลาที่ปวด บางรายอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ไข้ อาการชัก แขนขาอ่อนแรงข้างใดข้างหนึ่ง ประวัติโรคประจำตัวและประวัติการใช้ยา การตรวจเลือด หรือการตรวจทางเอ็กซเรย์ช่วยวินิจฉัยแยกโรคในบางกรณี การที่จะทราบว่าอาการปวดหัวเกิดจากสาเหตุใดนั้น ต้องอาศัยลักษณะต่างๆ ของอาการปวด อาการที่เกิดร่วมด้วย ความผิดปกติของการทำงานของสมอง หรืออวัยวะต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดอาการปวด ลักษณะต่างๆ ของอาการปวด ได้แก่ ตำแหน่งที่ปวด ความรุนแรง ลักษณะการปวด ลักษณะการดำเนินของอาการปวด มีส่วนช่วยในการวินิจฉัยโรคทั้งสิ้น นอกจากนี้ อาการที่เกิดร่วมด้วย เช่น ไข้ ตาแดง ตาโปน น้ำมูกมีกลิ่นเหม็น คลื่นไส้ เวียนหัว ก็มีความสำคัญเช่นกัน ความผิดปกติของการทำงานของสมอง หรืออวัยวะต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดอาการปวด เช่น ความคิดอ่านเชื่องช้า มองเห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนแรง เดินเซ ส่วนปัจจัยกระตุ้นอาการปวด ได้แก่ ความเครียด แสงจ้าๆ อาหารบางชนิด บางรายอาจพบว่ามีปัจจัยทุเลาอาการปวด เช่น การนอนหลับ การนวดหนังศีรษะ และยา การรักษา วิธีการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคไมเกรนที่สำคัญ ได้แก่ การบรรเทาอาการปวดศีรษะ และการป้องกันไม่ให้เกิดหรือลดความถี่ ความรุนแรงของอาการปวดศีรษะ การบรรเทาอาการปวดศีรษะอาจไม่จำเป็นต้องใช้ยา เช่น การนวด การกดจุด การประคบเย็น การประคบร้อน หรือการนอนหลับ ในรายที่ไม่ได้ผลหรืออาการปวดรุนแรงก็จำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวด ปัจจุบันมียาแก้ปวดที่ได้ผลดีหลายชนิด ยาแต่ละชนิดก็มีผลข้างเคียงต่างๆ กันไป ประกอบกับผู้ป่วยแต่ละรายก็ตอบสนองต่อยามาไม่เหมือนกัน จึงต้องเลือกให้เหมาะสมในแต่ละรายไป สำหรับยาที่ระงับอาการไมเกรนปัจจุบันนิยมใช้ยาในกลุ่ม ergot alkaloids และ triptans การป้องกันไม่ให้เกิด หรือลดความถี่ ความรุนแรงของอาการปวดศีรษะนั้น ที่สำคัญมีอยู่ 2 วิธี วิธีแรกก็คือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอร่วมกับการกำจัดความเครียดอย่างเหมาะสม วิธีที่สองคือ การรับประทานยาป้องกันไมเกรน แพทย์จะแนะนำให้รับประทานยาป้องกันก็ต่อเมื่อปวดศีรษะบ่อยมาก เช่น สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งขึ้นไป หรือแม้จะปวดไม่บ่อยแต่รุนแรงมากหรือนานต่อเนื่องกันหลายวัน ยาป้องกันไมเกรนนั้นมีอยู่หลายชนิด จะต้องเลือกชนิดและปรับขนาดยาให้เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยแต่ละรายไป แนะนำให้รับประทานยาป้องกันต่อเนื่องจนอาการสงบลงนาน 6-12 เดือน จึงลองหยุดยาได้ เมื่อกำเริบขึ้นอีกจึงเริ่มรับประทานใหม่ ยาต้านเบต้า เช่น propanolol, nadol, atenodol, metoprolol และ timolol ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันไมเกรนได้ แต่ยากลุ่มนี้ทำให้เกิดอาการข้างเคียงทางพฤติกรรมได้ เช่น ง่วงซึม อ่อนล้าง่าย การนอนหลับผิดปกติ ฝันร้าย ภาวะซึมเศร้า ความจำเลวลง และประสาทหลอน ยาในกลุ่มนี้จะต้องหลีกเลี่ยงในผู้ป่วยไมเกรนที่มีภาวะซึมเศร้าร่วมด้วย ยารักษาโรคซึมเศร้ากลุ่ม tricyclic antidepressant เช่น amitriptyline เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการไมเกรน อารข้างเคียงของยานี้คือ รับประทานอาหารเพิ่มขึ้น ปากแห้ง และง่วงซึม ยากันชักบางชนิด ปัจจุบันมีหลักฐานเพิ่มมากขึ้นว่ายากันชักสามารถนำมาใช้ป้องกันไมเกรนได้ผลดี เช่น sodium valproate, toprimate

วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ไข่กุ้ง (tobiko) คืออะไร

-ไข่กุ้ง หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่า โทบิโกะ (tobiko) คือ ไข่ของปลา flying fish พบตามชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น ลำตัวมีความยาว 35 ซ.ม. จับได้ในช่วงเวลาวางไข่ต้นฤดูร้อน
-ไข่ของปลา flying fish มีขนาดเล็กประมาณ 0.5-0.8 มม ตามปกติจะมีสีส้มแดง รสออกเค็มอ่อนๆ บางครั้งนำไปย้อมเป็นสีอื่น เช่น ย้อมวาซาบิได้ไข่สีเขียว ย้อมขิงได้ไข่สีส้ม หรือย้อมกับหมึกของปลาหมึกจะได้สีดำ ไข่กุ้งนิยมนำมาทำแคลิฟอร์เนียโรล ซูชิ และคานาเป้ เป็นต้น

-วิธีเก็บรักษา คือ นำใส่ถุงมัดปากถุงให้สนิท แล้วเก็บใส่กล่องพลาสติกปิดฝาให้สนิทนำเข้าแช่ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิ -18 องศาเซลเซียส จะสามารถเก็บได้นานหลายวัน

5 วิธีเลือกที่นั่งต้านกระดูกเสื่อม

เมื่อมีอายุมากขึ้นทุกคนอาจเป็นโรคกระดูกเสื่อมได้ตามธรรมชาติ แต่สำหรับผู้ที่ต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน หรือนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน โรคนี้อาจมาเยือนได้เร็วกว่าบุคคลอื่น ซึ่งวิธีการป้องกันหรือชะลอภาวะกระดูกเสื่อม แบบง่ายๆ นั้น ทำได้โดยการเลือกที่นั่งให้เหมาะสม 5 วิธี ดังนี้
1. ความสูงของเก้าอี้ ต้องเท่ากับช่วงยาวของขาท่อนล่าง (น่อง) ตั้งแต่ข้อพับหลังหัวเข่าลงไปถึงเท้า เพื่อจะได้วางเท้าราบพื้นพอดี
2. รูปร่างของเบาะนั่ง ต้องไม่บุ๋มเป็นแอ่ง มิเช่นนั้นจะทำให้กระดูเชิงกราน (ซึ่งเป็นฐานของกระดูกสันหลังทั้งหมด) บิดงอ
3. เบาะไม่ควรอยู่ลึกเกินไป และพนักพิงไม่ควรอยู่ไกลเกินไป หากพิงไม่ถึงและต้องเอนตัวไปด้านหลัง จะทำให้หลังงอ
4. ควรมีพนักพิง เพื่อช่วยดันหลังให้อยู่ในท่าตรงตามธรรมชาติ
5. ที่เท้าแขนอยู่ในระดับที่งอข้อศอกแล้ววางแขนได้พอดี เพราะนอกจากใช้พักแขนและข้อศอกแล้วยังใช้สำหรับดันเพื่อยืดตัวให้ตรงขึ้นได้ เล็กน้อยเพียงเท่านี้คงไม่ยากเกินไปที่จะใส่ใจกับสิ่งของที่เราต้องใช้บ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว