วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

วารสารเมืองโบราณ

วารสารเมืองโบราณ ฉบับปฐมฤกษ์เริ่มวางจำหน่ายในช่วงต้นเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๑๗ ตลอดระยะเวลากว่าสามสิบปีที่ผ่านมา การนำเสนอภาพและบทความใน วารสารเมืองโบราณได้เปลี่ยนแปลงแนวทางหลักไปตามเงื่อนไขบริบทของแต่ละมิติเวลาอยู่เสมอ
ในช่วงสามทศวรรษก่อน ขณะแผ่นดินถิ่นฐานอันกว้างใหญ่ของประเทศถูกบุกเบิกแผ้วถางเพื่อการเกษตรและอุตสาหกรรม คณะผู้จัดทำช่วงแรกๆ ได้มุ่งเน้นสำรวจและรายงานเกี่ยวกับแหล่งโบราณคดีที่ค้นพบใหม่ เชื่อมโยงกับการอ่านและอธิบายประวัติศาสตร์จากเอกสารประเภทจารึก ตำนานเป็นหลัก ต่อมา ได้เพิ่มเนื้อหาให้กับการศึกษาเฉพาะเรื่อง โดยเน้นการอธิบายจากมุมมองและทัศนะที่แตกต่างกันของผู้เขียนจำนวนมาก ครั้นในช่วงต้นทศวรรษ ๒๕๓๐ จึงหันมาสนใจที่จะอธิบายและให้ความหมายกับชุมชนจากอดีตจนถึงปัจจุบันในมุมมองของกลุ่มที่ร่วมวัฒนธรรมเดียวกัน อันเป็นความพยายามที่จะนำเสนอความรู้ความเข้าใจที่ละเอียดและลึกลงไปกว่าที่มีอยู่ในกระแสการท่องเที่ยวเชิงปริมาณ ซึ่งเริ่มเฟื่องฟูขึ้นแล้วในเวลานั้น
และก็เป็นเวลาเกือบหนึ่งทศวรรษแล้ว ที่แนวทางหลักของวารสารเมืองโบราณให้ความสำคัญกับการเฝ้าสังเกต รายงาน และอธิบายการเปลี่ยนแปลงของสังคมและวัฒนธรรมไทยท้องถิ่น ที่แสดงออกผ่านทางประเพณีพิธีกรรม วิธีคิด ตลอดจนการสร้างอัตลักษณ์ใหม่บนพื้นฐานเดิม ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์อันเชี่ยวกรากซึ่งส่งผลสะเทือนไปทั่วถึงทุกแห่งแหล่งที่ในโลก โดยการนำเสนอยังคงยึดแนวทางงานวิชาการเพื่อการค้นคว้าอ้างอิง ทว่าก็มีส่วนคอลัมน์ประจำเล่ม ซึ่งมีความหลากหลายไปตามแต่ความสนใจพิเศษของผู้อ่านทั่วไปที่ยังเป็นนักเรียน นักศึกษา และคนทั่วไปรวมอยู่ด้วย
ปีที่ ๓๐ ของวารสารเมืองโบราณจึงอาจนับว่าเป็นช่วงเวลาที่วารสารฉบับหนึ่ง ซึ่งคลุกคลีกับเรื่องราวประวัติศาสตร์ โบราณคดี ศิลป และวัฒนธรรมในทางลึกมานานกว่าสามทศวรรษ จะเริ่มขยายขอบข่ายความสนใจศึกษาเข้าสู่เรื่องราวของผู้คน สังคม และชุมชน ตลอดจนเปิดพื้นที่ให้แก่การเข้ามามีส่วนร่วมของคนทุกกลุ่มเหล่าอย่างแท้จริง
ปัจจุบัน วารสารเมืองโบราณยังคงเป็นหนังสือขนาด ๘ หน้ายกพิเศษ หนา ๑๖๐ หน้า เนื้อหาในเล่มแบ่งเป็นสามส่วน คือ
ส่วนเรื่องจากปก เป็นกลุ่มบทความหลัก ๓ - ๕ เรื่อง ซึ่งจะกล่าวถึง ตั้งข้อสังเกต และอรรถาธิบายถึงความรู้เกี่ยวกับ “หัวเรื่อง” (theme) นั้นๆ ในเชิงวิชาการทั้งทางลึกและทางกว้าง มีส่วนเชิงอรรถ การขยายความ และการอ้างอิงหนังสือบรรณานุกรมเช่นเดียวกับงานวิชาการทั่วๆ ไป แต่ปรับสำนวนภาษาให้อ่านเข้าใจได้ง่าย นำเสนอข้อสังเกตและแนวคิดรวบรัดชัดเจน ไม่เยิ่นเย้อ ดังเช่นที่เคยนำเสนอเรื่องวัฒนธรรมทุ่งกุลา ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น
ส่วนบทความ เป็นบทความเชิงวิชาการที่เขียนโดยคณาจารย์ในสถานศึกษา ข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่จากองค์กรหน่วยงานซึ่งทำการสอน เผยแพร่ หรือรับผิดชอบดูแลเกี่ยวกับเรื่องราวนั้นๆ โดยตรง และสาระจากการอภิปรายในประเด็นวิชาการที่ยังไม่ยุติ ข้อมูลหลักฐาน หรือแนวคิดใหม่ๆ เช่น เรื่องทวารวดีในสายตานักประวัติศาสตร์ ปัญหาศิลาจารึกหลักที่ ๑ พัฒนาการก่อนยุคสุโขทัย ตลอดจนสกู๊ปพิเศษที่เจาะลึกถึงความเคลื่อนไหวใหม่ๆ เน้นเรื่องเทคโนโลยี วัสดุอุปกรณ์ ขั้นตอนและวิธีการ ตลอดจนความรู้เชิงเทคนิคในระดับปฏิบัติการ ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่แพร่หลายทั่วไปนัก เช่น เทคโนโลยีดิจิตอลกับงานอนุรักษ์ภาพถ่ายโบราณ วิธีการกำหนดอายุโบราณวัตถุ เครื่องมือและวิธีการขุดค้นของนักโบราณคดี เป็นต้น
ส่วนคอลัมน์ประจำเล่ม เป็นคอลัมน์ซึ่งมีความสั้นกระชับ มีเนื้อหาครอบคลุมตั้งแต่จิตรกรรมฝาผนัง โบราณสถาน ประติมากรรม ไปจนถึงเภสัชวิทยาโบราณ งานช่างพื้นบ้าน การแปลความศิลาจารึก การวิจารณ์หนังสือ และรายงานข่าวทั่วๆ ไป นำเสนอโดยสำนวนภาษาที่ง่าย เหมาะสำหรับผู้อ่านที่เป็นนักเรียน นักศึกษา และแม้แต่ผู้สนใจเรื่องราวทั่วๆไป
บทความทั้งสามส่วนจะถูกคัดเลือกให้มีความหลากหลายทั้งในแง่ของพื้นที่ที่ศึกษา มิติเวลา และคุณวุฒิวัยวุฒิ ตลอดจนกลุ่มสังกัดของผู้เขียน เพื่อให้ครอบคลุมฐานของผู้อ่านที่มีความสนใจเรื่องทางด้านนี้ทุกเพศทุกวัยด้วย

Gmail

คุณรู้หรือไม่ว่ามีอยู่ 2 ประเทศ ไม่สามารถใช้ชื่อ Gmail ได้
นักท่องเน็ทส่วนใหญ่ต้องมี อีเมล (Email) อย่างน้อย คนละ 2 ชื่อ เพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสาร แลกเปลี่ยนเรื่องราวระหว่างกัน อีเมลยอดนิยมส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้น Hotmail Yahoo และ Gmail

Gmail คือ บริการฟรีอีเมล ที่จัดทำขึ้นโดย Google เปิดตัวให้ทดลองใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2547 ในตอนนั้น Gmail ยังอยู่ในช่วงพัฒนา ผู้ที่ต้องการใช้งานจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับการเชิญ (invite) เท่านั้น แต่เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ทาง Google ได้เปิดให้บุคคลทั่วไปสามารถใช้งาน Gmail โดยสมัครผ่านทางหน้าเว็บ
www.gmail.com ได้เลย ถือว่าเป็นการเปิดศึกของการให้บริการ ฟรีอีเมล ที่น่าจับตามอง

บริการ Gmail ดีอย่างไร ???

Gmail ได้เปรียบผู้ให้บริการฟรีอีเมลทั่วไปในเรื่องของพื้นที่การเก็บอีเมล ในขณะที่ทาง Hotmail และ Yahoo ให้พื้นที่ใช้งานอยู่ที่ 1 GB แต่ของ Gmail กลับให้พื้นที่การใช้งานมากกว่าโดยอยู่ที่ 2.8 GB เทียบเท่ากับหน้าเว็บเพจถึง 1.4 ล้านหน้า !!!
จุดเด่นโดนใจนอกเหนือจากพื้นที่การใช้งาน ที่ให้เยอะจนสามารถเก็บอีเมลไว้อย่างจุใจแล้ว Gmail ยังสามารถเช็คอีเมลเข้าใหม่ผ่านทางเว็บบราวเซอร์ของ Firefox ได้เลย นอกจากนี้ยังได้รับสิทธิพิเศษในการใช้บริการต่าง ๆ ของ Google อย่างเช่น บริการ iGoogle เสริชเอ็นจิ้น แบบใหม่ที่สามารถจัดรูปแบบ การใช้งานตามสไตล์ของผู้ใช้ เพียงแค่มีอีเมลของ Gmail เพื่อใช้ในการเข้าระบบ เป็นต้น
แต่คุณรู้หรือไม่ว่า...มีเพียงประเทศ เยอรมัน และ ประเทศ อังกฤษ เท่านั้น ที่ทาง Google ต้องเปลี่ยนจาก Gmail เป็น Google Mail เนื่องจากชื่อ Gmail ซ้ำกับชื่อผู้ให้บริการอื่นที่มีอยู่ก่อนแล้ว ทำให้กลายเป็นเพียง 2 ประเทศในโลก ที่ใช้ @googlemail.com
ทะเลหมอกบนเขาค้อ



เขาค้อ เป็นชื่อเรียกรวมทิวเขาน้อยใหญ่ของเทือกเขาเพชรบูรณ์ ในเขตอำเภอเขาค้อ เหตุที่เรียกกันว่า เขาค้อ เป็นเพราะป่าบริเวณนี้มีต้นค้อขึ้นอยู่มาก เนื่องจากภูมิอากาศบนเขาค้อเย็นตลอดปี ค่อนข้างเย็นจัดในฤดูหนาวและมีทัศนียภาพสวยงาม จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของเพชรบูรณ์
เขาค้อประกอบด้วยภูเขาสลับซับซ้อนมากมาย ยอดเขาค้อ มีความสูงประมาณ 1,174 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล เขาย่าสูง 1,290 เมตรและเขาใหญ่ สูง 865 เมตร นอกจากนั้นยังมีเขาตะเคียนโง๊ะ เขาหินตั้งบาตร เขาห้วยทราย และเขาอุ้มแพ ลักษณะป่าไม้ในแถบนี้เป็นป่าเต็งรังหรือป่าไม้สลัดใบ ป่าสน และป่าดิบ ที่น่าสนใจก็คือ พันธุ์ไม้ตระกูลปาล์ม ลักษณะคล้ายต้นตาล แต่ออกผลเป็นทะลายคล้ายหมาก แม้ปัจจุบันป่าจะถูกถางไปมากก็ตาม แต่ก็ยังมีให้เห็นอยู่บ้าง สถานที่ท่องเที่ยงบนเขาค้อ นอกจากสถานที่ที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์แล้ว เขาค้อยังมีความสวยงามให้ชื่นชมได้ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะการขึ้นไปชมทะเลหมอกในฤดูหนาว ซึ่งมีที่พักหลายแห่งสามารถเห็นทะเลหมอกที่สวยงามได้ในตอนเช้า ส่วนในฤดูร้อนก็ยังมีนักท่องเที่ยวนิยมมาเที่ยวชม เนื่องจากมีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำ ทำให้มีอากาศเย็นตลอดทั้งปี
ทะเลหมอกบนเขาค้อ บริเวณที่เกิดทะเลหมอกบนเขาค้อ คือบริเวณเหนืออ่างเก็บน้ำรัตนัย ซึ่งอยู่ด้านล่างของถนนเส้นทางหลักสาย 2196 บริเวณใกล้ๆ กับที่ทำการอ.เขาค้อ สามารถชมทะเลหมอกได้เป็นระยะทางค่อนข้างยาวไกล ในช่วงเช้า ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ถึงเวลาประมาณ 8 โมงเช้า จุดที่นิยมไปชมกันมากที่สุด คือบริเวณศาลาชมวิวเขาค้อ, จุดบริเวณที่ตั้งของรีสอร์ทเขาค้อทะเลหมอก, พรสวรรค์รีสอร์ท,เขาค้อสวิส, รุ่งอรุณรีสอร์ท, ภูอาบหมอก, บ้านทะเลหมอก และบริเวณใกล้เคียง เช่น ชุมสายโทรศัพท์เขาค้อ และสถานที่ราชการ ที่อยู่ติดๆกัน เช่นสถานีตำรวจภูธร อ.เขาค้อ และโรงเรียนร่มเกล้าเขาค้อ
นอกจากนี้ ยังมีรีสอร์ทอีกหลายแห่ง ที่สามารถพักแรมในบ้านพัก หรือกางเต็นท์นอน เพื่อชมทะเลหมอกยามเช้า ที่หน้าบ้านกันเลย ส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณจุดชมทะเลหมอกริมถนนสาย 2196 นี้ บางรีสอร์ทอาจต้องเข้าซอย หรืออยู่ต่ำลงไปอีกนิดหนึ่ง แต่ก็สามารถชมทะเลหมอกได้เช่นกัน บางวันที่มีหมอกหนาแน่น รีสอร์ทที่อยู่ต่ำ ก็จะถูกหมอกคลุม กลายเป็นส่วนหนึ่งของทะเลหมอก เป็นบ้านในสายหมอก ได้บรรยากาศไปอีกแบบ
บริเวณจุดชมวิวเขาค้อทะเลหมอก
จุดกางเต็นท์
สามารถกางเต็นท์ในรีสอร์ทเกือบทุกแห่ง ซึ่งจะเสียค่าบริการรายหัว ประมาณ 100-250 บาท แล้วแต่รีสอร์ท เป็นค่าที่พักรวมกับอาหารเช้า และบริการเสริมอื่นๆของรีสอร์ท แต่หากต้องการกางเต็นท์ในพื้นที่ราชการบริเวณนี้ ก็สามารถกางเต็นท์ได้ที่ ชุมสายโทรศัพท์เขาค้อ บริเวณติดกัน รวมถึงสถานที่ราชการอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งส่วนใหญ่เปิดบริการให้นักท่องเที่ยวเข้ามากางเต็นท์พักแรม ในช่วงเทศกาล หรือหากไม่ต้องการพักแรมเบียดเสียดกัน ก็หาที่พักที่ไกลออกไปสักนิด แล้วค่อยขึ้นมาชมทะเลหมอกยามเช้า ก็สะดวกดี

วันอาทิตย์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

“น้ำอัดลม” ภัยที่คาดไม่ถึง



ปัจจุบันเครื่องดื่มยอดนิยมประเภทหนึ่งในประเทศไทยที่นิยมดื่มกันมากในทุกเพศ ทุกวัย ก็คือ “น้ำอัดลม” ซึ่งน้ำอัดลมที่มีจำหน่ายอยู่ทั่วไปนั้นมีหลายยี่ห้อด้วยกัน แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า น้ำอัดลมที่ท่านดื่มอยู่นี้มีโทษอย่างไรบ้าง ทางด้านคุณคงไม่ต้องพูดถึง เพราะน้ำอัดลมไม่มีคุณค่าทางโภชนาการแต่อย่างใด (ในแง่ของวิตามิน และแร่ธาตุ) แต่จะมีส่วนผสมของน้ำตาลสูง มีกรดสูงมาก และมีสารปรุงแต่งจำพวกวัตถุกันเสีย และสีมากกว่า บางคนชอบดื่มน้ำอัดลมเย็น ๆ หลังทานอาหารแต่ละมื้อ ลองเดาสิว่าคนเหล่านั้นได้รับผลกระทบอะไรบ้าง ร่างกายของคนเราขณะย่อยอาหารจะมีอุณหภูมิ 37 องศา แต่น้ำอัดลมเย็น ๆ ที่ดื่มเข้าไปมีอุณหภูมิต่ำกว่า 37 องศามาก และมีอุณหภูมิเกือบจะ 0 องศาในบางครั้ง กรณีเช่นนี้ทำให้ประสิทธิภาพในการย่อยอาหารของร่างกายต่ำลง การย่อยอาหารทำได้ยากขึ้นและย่อยอาหารได้น้อยลง ในความเป็นจริงแล้ว อาหารในร่างกายจะเสีย และส่งแก๊สซึ่งมีกลิ่นเหม็นออกมา อาหารจะเน่าเปื่อย และทำให้เกิดสารพิษซึ่งจะถูกดูดซึมในลำไส้ และจะไหลเวียนในระบบเลือดไปทั่วร่างกายสารพิษซึ่งแพร่ออกไปทั่วร่างกายนี้จะส่งผลให้เชื้อโรคต่าง ๆ เจริญเติบโตได้ดีขึ้น
คุณเคยคิดก่อนดื่มหรือไม่ว่าคุณดื่มอะไรเข้าไปคุณกำลังกลืนสารคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสารที่ไม่มีใครในโลกจะแนะนำให้คุณดื่ม เรามาดูส่วนประกอบของน้ำอัดลมกันดีกว่า ว่าส่วนประกอบนั้นมีอะไรบ้าง
ส่วนประกอบของน้ำอัดลม
1. น้ำ เป็นส่วนประกอบหลักของน้ำอัดลม เป็นน้ำที่สะอาด อาจจะใช้น้ำประปา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากน้ำบาดาลที่ผ่านการกรองและฆ่าเชื้อโรคด้วยคลอรีน

2. สารให้รสหวาน สารให้รสหวาน คือ น้ำตาลทราย นำมาผสมน้ำ แล้วต้มทำเป็นน้ำเชื่อมและกรอง ปัจจุบันมีการใช้สารให้ความหวานตัวอื่นเพิ่มมา เช่น น้ำเชื่อมข้าวโพด (Corn syrup) สารทดแทนความหวาน เช่น แอสปาเทม
3. สารปรุงแต่งที่เรียกกันว่า หัวน้ำเชื้อ ซึ่งจะเป็นส่วนผสมของสารที่ให้กลิ่นและสี กับกรดบางชนิดที่ใช้ในอาหาร เช่น กรดมะนาวหัวน้ำเชื้อจะนำมาผสมในน้ำเชื่อม
4. ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยจะนำมาอัดลงในน้ำหวานที่ผสมไว้
5. คาเฟอีน ในบางยี่ห้อ
6. วัตถุกันเสีย
น้ำอัดลมบรรจุขวดหรือกระป๋องที่มีจำหน่ายกันทั่วไปนั้น แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทด้วยกัน ตามลักษณะเฉพาะของกลิ่นรสและสีของผลิตภัณฑ์ ดังนี้
ประเภทที่ 1 น้ำอัดลมรสโคล่า หรือน้ำดำ น้ำอัดลมประเภทนี้ปรุงแต่ด้วยหัวน้ำเชื้อโคล่าซึ่งมีคาเฟอีนที่สกัดจากส่วนใบของต้นโคคาอยู่ด้วยปริมาณของคาเฟอีนในน้ำอัดลมชนิดโคล่าแต่ละยี่ห้อก็จะแตกต่างกันไปแล้วแต่สูตรลับเฉพาะของแต่ละบริษัท สำหรับสีน้ำตาลเข้มที่เป็นที่มาของสีน้ำดำนั้น ส่วนใหญ่แล้วจะมาจากสีผสมอาหารที่เป็นสีของน้ำตาลเคี่ยวไหม้
ประเภทที่ 2 น้ำอัดลมไม่ใช่โคล่า ได้แก่น้ำอัดลมสีขาวใสที่ปรุงแต่ด้วยหัวน้ำเชื้อเลมอน-ไลม์ น้ำอัดลมที่ปรุงแต่งกลุ่นรสเลียนแบบน้ำผลไม้ เช่น ส้ม องุ่น มะนาว ลิ้นจี่ น้ำหวานอัดลม พวกน้ำเขียว น้ำแดง และน้ำอัดลมที่สีเหมือนโคล่าแต่ไม่ใช่ คือ รู้ทเบียร์เป็นต้น น้ำอัดลมเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีคาเฟอีน เนื่องจากไม่ได้ปรุงแต่ด้วยหัวน้ำเชื้อชนิดโคล่า อย่างไรก็ตามอาจมีการเติมคาเฟอีนสกัดเล็กน้อยในส่วนผสม เพื่อให้ได้ฤทธิ์กระตุ้นของคาเฟอีน ทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเมื่อดื่ม ตามแต่สูตรของผู้ผลิตซึ่งอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศด้วย
คุณค่าทางโภชนาการของน้ำอัดลมอยู่ที่น้ำตาลซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้ แต่จุดอ่อนของน้ำอัดลมอยู่ที่ผู้ดื่มได้พลังงานเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีสารอาหารอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีก เรียกว่าพลังงานที่ว่างเปล่า หรือ Empty caloriesดังนั้นถ้าดื่มน้ำอัดลมมากและรับประทานอาหารอื่นน้อย ก็อาจขาดสมดุลทางโภชนาการ ที่สำคัญคือในเด็กยิ่งเด็กเล็ก ๆ ยิ่งน่าเป็นห่วง ถ้าปล่อยให้ดื่มแต่น้ำอัดลม ไม่ได้ดูแลให้รับประทานอาหารให้ครบตามหลักโภชนาการอาจขาดสารอาหารได้ บางครั้งก็ให้ดื่มในเวลาที่ใกล้จะถึงหรือในระหว่างรับประทานอาหารมื้อหลัก ทำให้อิ่มและกินอาหารได้น้อยลง ข้อเสียอีกประการหนึ่งเนื่องจากน้ำอัดลมมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบในปริมาณมาก และมีสภาวะเป็นกรดด้วย อาจเป็นเหตุให้ฟันผุ นอกจากนี้น้ำอัดลมยังอาจทำให้ท้องอืดเพราะเกิดก๊าซในกระเพาะอาหาร และสภาวะที่เป็นกรดของน้ำอัดลมก็ไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหารด้วย
ผลเสียของน้ำอัดลมต่อสุขภาพ
1. อ้วน ความหวานจากน้ำตาลถ้าดื่มมากและบ่อย สะสมพลังงานทำให้อ้วน การดื่มน้ำอัดลม 1 กระป๋อง จะต้องวิ่งเป็นเวลา 15-20 นาที จึงจะใช้พลังงานหมด

2. ฟันผุ เกิดจากกรดในน้ำอัดลมทำลายสารเคลือบฟัน และความหวานที่เป็นอาหารของเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้ฟันผุ
3. ปวดท้อง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่อัดในน้ำอัดลมจะกลายเป็นกรดคาร์บอนิก ซึ่งเป็นกรด จะทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหาร เป็นโรคกระเพาะเกิดอาการปวดท้อง แก๊สในน้ำอัดลมทำให้ท้องอืด แน่นท้อง และปวดท้อง ซึ่งพบได้บ่อยในเด็กและเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่ผู้ปกครองต้องพาเด็กมาพบแพทย์ด้วยอาการปวดท้อง
4. กระตุ้นหัวใจและระบบประสาท ผลจากคาเฟอีนในน้ำอัดลม มีผลกระตุ้นหัวใจทำให้ใจสั่น มือสั่น นอนไม่หลับ
5. กระดูกพรุน คาเฟอีนมีผลต่อการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะเพิ่มขึ้น ทำให้มีโอกาสสูญเสียแคลเซียมจากร่างกาย และผลจากฟอสเฟตสูงในน้ำอัดลม ทำให้ระดับแคลเซียมในร่างกายต่ำลง การดื่มน้ำอัดลมทำให้โอกาสของการดื่มนมและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ลดลง ส่งผลให้เป็นโรคกระดูกเปราะ กระดูกผุกร่อนได้ง่าย
6. ขาดสารอาหาร เด็กเล็ก ๆ ถ้าดื่มน้ำอัดลมมาก ๆ ในเวลาที่ใกล้จะถึงมื้ออาหารมื้อหลัก หรือในระหว่างรับประทานอาหารจะทำให้อิ่มและรับประทานอาหารมื้อหลักได้น้อย ได้สารอาหารไม่ครบตามหลักโภชนาการ อาจขาดสารอาหารได้
พิจารณาดูแล้วนอกจากรสชาติที่หลายคนชื่นชอบ ผลกระทบทางลบต่อสุขภาพดูจะเป็นข้อควรสอนให้เด็ก ๆ และผู้ปกครองได้รับรู้ และเป็นตัวแบบในการไม่สนับสนุนในการเพิ่มปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ ต่อลูก ๆ ของเรา

Great USA ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับน้ำอัดลมไว้ว่า คุณแม่ยังสาวคนหนึ่งเสียชีวิตเนื่องจากไตวาย ทั้งสองข้าง เธอได้รับการรักษาที่โรงพยาบาลเพอร์ทามิน่าเป็นเวลาหนึ่งเดือน โดยได้รับอนุญาตให้กินได้แค่น้ำ 1 แก้วในหนึ่งวันเท่านั้น หมอให้การรักษาเธอแต่ดูเหมือนว่าจะสายไปเสียแล้ว เธอเล่าว่าเธอดื่มน้ำ อัดลมตอนทานอาหารกลางวันทุกวัน แต่แม้ว่าเธอจะดื่มน้ำอัดลมเพียงวันละ 1แก้ว มันก็สามารถทำลายอวัยวะภายในของเธอได้ ท้ายที่สุดเธอเสียชีวิตลง โดยทิ้งบุตรชายวัย 1 ขวบไว้ น่าสงสาร!
ภัยที่คาดไม่ถึงของน้ำอัดลม บทความนี้ไม่ใช่บทความเกี่ยวกับเรื่องการเมืองแต่เป็นเรื่องซึ่งน่าสนใจมาก สำหรับผู้ที่ชอบดื่มซึ่งคิดว่าคุณรู้เรื่องเกี่ยวกับน้ำอัดลมดีแล้ว น้ำอัดลมสามารถ
- ทำความสะอาดห้องน้ำโดยการรินลงในโถชักโครก ทิ้งไว้ 1 ชั่วโมงแล้วจึงกดชักโครก กรดซิติกในน้ำอัดลม จะขจัดคราบสกปรกได้อย่างดี
- ใช้กำจัดจุดสนิมบนกันชนรถโดยการขัดกันชนด้วยแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์ ขยำเป็นชิ้นเล็ก ๆ และจุ่มน้ำอัดลม
- ใช้ทำความสะอาดรอยกัดกร่อนบนสายแบตเตอรี่รถ โดยการรินให้ทั่วสายแบต ฟองที่เกิดขึ้นจะช่วยขจัดรอยดังกล่าวได้
- ช่วยทำให้รอยสนิมบนม้วนผ้าจางลง โดยการจุ่มผ้าในน้ำอัดลมประมาณ 2-3 นาที
- ช่วยอบแฮมที่ชื้นได้ โดยการเทน้ำอัดลม 1 กระป๋องลงในกระทะ ซึ่งตั้งไฟไว้แล้วใส่แฮมที่ห่อด้วยอลูมิเนียมฟอยล์ลงไปแกะฟอยล์ออก 30 นาทีก่อนแฮมสุกและผสมแฮมกับน้ำอัดลมจะได้น้ำเกรวี่สีน้ำตาล
- ช่วยขจัดรอยฝังแน่นจากผ้าโดยการเทน้ำอัดลม 1 กระป๋องลงบนผ้าสกปรก เติมน้ำยาซักผ้าและซักตามปกติ จะช่วยทำให้คราบฝังแน่นจางลง และยังช่วยทำความสะอาดรอยน้ำ ซึ่งกระเด็นจากถนนบนกระจกรถได้อีกด้วย
ถ้าจะให้เลิกดื่มน้ำอัดลมซะทีเดียวมันก็เป็นเรื่องยาก แต่ถ้าจำเป็นต้องดื่มจริง ๆ ก็ควรจะดื่มให้น้อยลง ไม่ควรดื่มมากเกินไปผู้เขียนเห็นว่าน้ำอัดลมเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก และเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงว่ามันจะมีอันตรายต่อสุขภาพของคนเราเหมือนกัน

Kebab อาหารยอดนิยมของคนอังกฤษ
Kebab (เคบับ) เป็นอาหารสัญชาติตุรกี เป็นที่นิยมมากสำหรับคนอังกฤษ ในนอริช ที่เมืองนี้มี Shop Takeaway มากกว่า 40 Shops วิธีการทำของเค้าคล้ายๆ กับ BBQ ดีๆ นี่แหล่ะค่ะ แต่แตกต่างตรงที่รสชาติ และเค้ากินกับแป้งขนมปัง ที่เรียกว่า Pitta Bread แล้วก็มีซอสพริกราดอีกที ซอสพริกเค้ามีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ เป็นสไตล์ของเค้าเอง ในร้านก็จะมี Kebab, Burger และ Pizza เป็นหลักค่ะ หากินได้ทั่วเมืองเลยทีเดียว สำหรับ Kebab จะทำจากเนื้อแกะ และไก่ค่ะ แต่เนื้อแกะจะมีหลากหลายแบบให้เลือก เช่น Doner Kebab, shish Kebab, และ Kofte Kebab ที่เราชอบกินก็จะเป็น Doner Kebab และ shish Kebab มีบ้างบางครั้งก็กิน Burger แต่ Burger ที่นี่อันใหญ่มากๆ ค่ะ กินอันเดียวอิ่มเลย....อิอิ เรามีร้านประจำอยู่ ร้านนี้อร่อยที่สุดเลยค่ะ ไปกินบ่อยๆ เจ้าของร้านใจดี คุยเก่ง เป็นมิตร ไปกินทีไรไม่เคยผิดหวังเลยค่ะ ทำพิเศษให้ทุกที อิ่มไปทั่งวันเลย.....อิอิ Kebab จะมีเอกลักษณ์อย่างนึงที่ดูแปลกตาคือ Doner ลักษณะมันจะเป็นแท่งกลมๆ อันใหญ่ๆ แล้วเค้าจะย่างโดยวิธีการให้มันหมุน (เหมือนไก่หมุนบ้านเรา แต่ที่นี่หมุนเป็นแนวตั้ง) พอสุกได้ที่ เค้าก็จะใช้มีดยาวๆ สไลต์ เป็นแผ่นบางๆ แล้วจับใส่ Pitta Bread ราดซอสพริก และสลัด กลิ่นหอม หน้าตาน่ากินมาก
เป็นเรื่องแปลกอีกอย่างค่ะ เท่าที่เราสังเกตุ คนเอเชียจะไม่ค่อยชอบกินเนื้อแกะกัน เพราะเค้าบอกว่ากลิ่นแรงมาก แต่เรารู้สึกว่าเฉยๆ นะ กลับชอบด้วยซ้ำ ซื้อมาทำกับข้าวกินบ่อยๆ เพราะราคาพอๆ กับเนื้อหมู และเนื้อวัวเลยค่ะ บางครั้งมีโปรโมชั่นลดราคาก็จะถูกกว่าด้วยซ้ำ คนอังกฤษเค้าชอบเนื้อแกะมาก ไม่เห็นมีใครบอกว่าไม่อร่อย และติเรื่องกลิ่นเลย

ปัญหา Y2K คืออะไร
Y2K คืออะไร คำตอบสั้นๆคือคำย่อของ Year 2000 ซึ่งหมายถึงปี ค.ศ. 2000 โดย
Y ย่อมาจากคำว่า Year
K เป็นหน่วยในการวัดค่าต่างๆ ในระบบเมตริก มีค่าเท่ากับ 1000
2K จึงมีค่า 2x1000 เท่ากับ 2000
ดังนั้น Y2K ก็คือ Year 2000 นั่นเอง
ปัญหา Y2K คืออะไรกันแน่

ปัญหา Y2K คือปัญหาซึ่งจะเกิดขึ้นกับระบบคอมพิวเตอร์และเครื่องมือทุกชนิดที่มี ส่วนควบคุมเป็น Micro Chip ซึ่งมีการทำงานต่างๆขึ้นกับวันและเวลาในตัว Micro Chip ที่เราเรียกว่า Real Time Clock (RTC) หากอุปกรณ์ใดก็ตามที่ไม่ได้ใช้วันและเวลาในตัว Micro Chip ในการทำงานหรือใช้เฉพาะเวลาเพียงอย่างเดียวจะไม่ได้รับผลกระทบจาก ปัญหา Y2K เลย
ปัญหา ค.ศ. 2000 นอกจากจะเรียกว่า Y2K Bug แล้วยังมีชื่ออื่นอีก เช่น Millennium Bug เป็นต้น

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

Happy Valentine Day


กุมภาพันธ์เป็นเดือนที่อบอวลไปด้วยความสุขการแสดงถึงความรัก ความห่วงใยถึงคนที่ เราปรารถนาดีและอยากให้เขามีความสุข และเป็นที่รับรู้กันทั่วโลกว่าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันแห่งความรักหรือ Valentine’s Day และวันนี้ยังมีคิวปิด หรือกามเทพ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของ วันวาเลนไทน์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด คิวปิดเป็นบุตรของวีนัสและมาร์ส แต่ ชาวกรีกเรียกคิวปิดว่า อีรอส ภาพของ คิวปิดที่มนุษย์โลกปัจจุบันได้รู้จักก็คือภาพเด็กน้อยที่ถือคันธนูและลูกศร มีหน้าที่ยิงศรรักให้ปักใจคน ปัจจุบัน คิวปิดและธนูของเขากลายมาเป็น เครื่องหมายแห่งความรักที่เป็นที่รู้จัก มากที่สุด และความรักของเขามีกล่าวถึงบ่อยในภาพของ การยิงศรรัก ระหว่าง หัวใจสองดวงให้รักกัน เรียกกันว่า ศรรักคิวปิด เราจึงมาเล่าสู่กันฟังเกี่ยว กับประวัติความเป็นมาและความสำคัญ ของวันนี้กันค่ะ
เทศกาลวาเลนไทน์ เริ่มมีขึ้น ตั้งแต่ยุคที่จักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ ในยุคนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถูกจัดให้เป็นวันหยุดเพื่อเป็นเกียรติแต่เทพเจ้าจูโนผู้เป็น จักรพรรดินีแห่งเทพเจ้าโรมัน นอกจาก นี้แล้วพระองค์ยังทรงเป็นเทพเจ้าแห่ง อิสตรีเพศและการแต่งงานและในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ เป็นวันเริ่มต้นเทศกาล เฉลิมฉลองแห่งลูเพอร์คาร์เลีย การ ดำเนินชีวิตของหนุ่มสาวจะ ถูกตัดขาดออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ในรัชสมัยของ จักรพรรดิคลอดิอัส ที่ 2 (Emperor Claudius II) แห่ง กรุงโรม พระองค์ ทรงเป็นกษัตริย์ที่มี ใจคอดุร้ายและทรงนิยม การ ทำสงครามนองเลือด ได้ทรงตระหนักว่าเหตุที่ ชายหนุ่มส่วนมากไม่ประสงค์จะเข้าร่วม ในกองทัพเนื่องจากไม่อยากจากคู่รัก และครอบครัวไป จึงทรงมีพระราชโอง การสั่งห้ามมิให้มีการจัดพิธีหมั้นและ แต่งงานกันในโรมโดยเด็ดขาด ทำให้ ประชาชนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง และขณะนั้น มีนักบุญรูปหนึ่งนามว่า เซนต์วาเลนไทน์ หรือวาเลนตินัส ซึ่งอาศัยอยู่ในโรมได้ ร่วมมือกับเซนต์มาริอัสจัดพิธีแต่งงานให้กับ ชาวคริสต์หลายคู่ และด้วยความปรารถนา ดีนี้เองจึงทำให้วาเลนไทน์ถูกจับและระ หว่างนี้ก็ยังคงส่งคำอวยพรวาเลนไทน์ ของเขาเองขณะที่เขาเป็นนักโทษ เป็น ความเชื่อว่าวาเลนไทน์ได้ตกหลุมรักหญิง สาวที่เป็นลูกสาวของผู้คุมที่ชื่อจูเลีย ซึ่งได้มาเยี่ยมเขาระหว่างที่ถูกคุมขัง ในคืนก่อนที่วาเลนไทน์จะสิ้นชีวิตโดยการถูกตัดศีรษะ เขาได้ส่งจดหมายฉบับ สุดท้ายถึงจูเลีย โดยลงท้ายว่า “From Your Valentine” . วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270 หลังจากนั้นศพของเขาได้ถูก เก็บไว้ที่โบสถ์ พราซีเดส (Praxedes) ณ กรุงโรม จูเลียได้ปลูกต้นอามันต์ หรืออัลมอลต์สีชมพู ไว้ใกล้หลุม ศพของวาเลนตินัส แด่ผู้เป็น ที่รักของเธอ โดยในทุกวันนี้ ต้นอามันต์สีชมพูได้เป็นตัวแทน แห่งรักนิรันดรและมิตรภาพ อันสวยงาม และคำนี้ก็เป็นคำที่ใช้มา จนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าเบื้อง หลังความเป็นจริงของวาเลนไทน์จะ เป็นตำนานที่มืดมัว แต่เรื่องราวยังคง แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกสงสาร ความ กล้าหาญและที่สำคัญที่สุดเป็นเครื่องหมาย ของความโรแมนติค จึงไม่น่าประหลาดใจ เลยว่าในช่วงยุคกลางวาเลนไทน์เป็นนักบุญ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอังกฤษและฝรั่งเศส ต่อมาพระในนิกายโรมันคาทอลิกจึงเลือกให้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ เป็นวันเฉลิมฉลอง เทศกาลแห่งความรักและดูเหมือนว่ายัง คงเป็นธรรมเนียมที่ชายหนุ่มจะเลือก หญิงสาวที่ตนเองพึงใจในวันวาเลนไทน์ สืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้
วาเลนไทน์ ในแต่ละประเทศจะมีประเพณีหรือการ ปฏิบัติที่แตกต่างกันบ้าง แต่โดยรวมแล้ว จะมีการเฉลิมฉลองและเป็นการแสดงถึง ความรักที่มีระหว่างกัน ต่อมาเมื่อความ เจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทางด้าน การพิมพ์เข้ามาเกี่ยวข้องมีการพิมพ์บัตร อวยพรโดยเข้ามาแทนที่จดหมายที่ เขียนด้วยลายมือ และปัจจุบันก็มีการส่ง บัตรอวยพรทางออนไลน์เพื่อแสดงถึงความ ก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วย ให้คนที่ต้องการแสดงความรักความห่วงใย ถึงคนที่รักได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ประวัติ วันวาเลนไทน์นี้ เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆกันมา จนถึงปัจจุบัน เท่าที่ค้นหามาได้นี้เป็นเพียง หนึ่งในหลายๆเรื่องเท่านั้น แต่ไม่ว่าประวัติ ที่แท้จริง จะเป็นอย่างไรก็ตาม ใน ปัจจุบัน นี้เราได้ถือว่าวันวาเลนไทน์เป็น วันสำคัญวันหนึ่งในประวัติศาสตร์เลยที เดียว คุณสามารถส่งดอกไม้ ขนมและ การ์ด เพื่อบอกความนัยให้แก่คนพิเศษ ของคุณ วันนี้จะเป็นวันที่เราส่งความรู้สึก ดีๆให้แก่กัน...

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ซิกมันด์ ฟรอยด์
Sigmund Freud
ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) จิตแพทย์ชาวออสเตรีย เชื้อสายยิว เกิดเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2399 ในจักรวรรดิออสเตรียซึ่งปัจจุบันคือ สาธารณรัฐเช็ก และเสียชีวิตวันที่ 23 กันยายน พ.ศ.2482 รวมอายุ 83 ปี ครอบครัวมีอาชีพขายขนสัตว์ มีฐานะปานกลาง
ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) สนใจด้านวิทยาศาสตร์มาตั้งแต่เด็ก เรียนจบจากมหาวิทยาลัยเวียนนาสาขาวิทยาศาสตร์ แล้วเรียนต่อสาขาแพทยศาสตร์ จากนั้นได้ไปศึกษาต่อด้านโรคทางสมองและประสาทที่กรุงปารีสกับหมอผู้เชี่ยวชาญด้านอัมพาต ที่นั่นฟรอยด์ได้ค้นพบว่าความจริงแล้วคนไข้บางรายป่วยเป็นอัมพาตเนื่องจากภาวะทางจิตใจไม่ใช่ร่างกาย หลังจากกลับมาอยู่ที่กรุงเวียนนา ฟรอยด์จึงใช้วิธีการรักษาแบบจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) กับคนไข้ที่เป็นอัมพาต กล่าวคือให้ผู้ป่วยเล่าถึงความคับข้องใจหรือความหวาดกลัวและพยายามให้ผู้ป่วยเข้าใจเหตุการณ์นั้นๆ เพื่อลดความขัดแย้งในใจ ปรากฏว่ามีผู้ป่วยหลายรายหายจากอัมพาต
ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) ได้ศึกษาวิเคราะห์จิตใจของมนุษย์ และอธิบายว่า จิตใจทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ มี 3 ลักษณะ คือ
1. จิตรู้สำนึก (Conscious mind) หมายถึง สภาวะจิตที่รู้ตัวอยู่ ได้แก่ การแสดพฤติกรรม เพื่อให้สอดคล้องกับหลักแห่งความเป็นจริง
2. จิตกึ่งสำนึก (Subconscious mind) หมายถึง สภาวะจิตที่ระลึกถึงได้ แต่มิได้แสดงออกเป็นพฤติกรรมในขณะนั้น เป็นส่วนที่รู้ตัวสามารถดึงออกมาใช้ได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
3. จิตใต้สำนึก (Unconscious mind) หมายถึง สภาวะจิตที่ไม่อยู่ในภาวะที่รู้ตัวระลึกถึงไม่ได้ เป็นสิ่งที่ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจ แต่มีอิทธิพลจูงใจพฤติกรรม และการดำเนินชีวิตของคนเรามากที่สุด
เขาอธิบายว่าจิตใต้สำนึกของคนเราแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ อิด (Id) อีโก้ (Ego) และ ซุปเปอร์อีโก้ (Superego) โดย อิดจะเป็นพลังอารมณ์ความรู้สึกที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด เช่น รัก โลภ โกรธ หลง หรือเรียกว่าเป็นสัญชาตญาณดิบของคนเรานั่นเอง ซึ่งหากคนเรามีอิด เพียงอย่างเดียวก็จะไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่ไม่สามารถยับยั้งชั่งใจตัวเองได้ ในขณะที่ ซุปเปอร์อีโก้จะเป็นพลังงานที่เกิดจากการเรียนรู้ค่านิยมต่างๆ เช่น ความดี ความชั่ว มโนธรรม เป็นต้น ซึ่งเป็นพลังในส่วนดีของจิตมนุษย์ที่จะคอยหักล้างกับพลังอิด ทั้งนี้ในระหว่างความสุดขั้วของอิด และซุปเปอร์อีโก้นั้นจะมี อีโก้อยู่ระหว่างกลางคอยทำหน้าที่ควบคุมไม่ให้คนเราแสดงสัญชาตญาณดิบออกมามากเกินไป แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำให้คนเราแสดงออกซึ่งมโนธรรมเพียงอย่างเดียวเช่นกัน

คุกขี้ไก่ กับ ตึกแดง
เที่ยวเมืองจันท์ หรือจันทบุรีของผมคราวนี้ จะไปชมคุกในประวัติศาสตร์ที่ปากน้ำแหลมสิงห์ อำเภอแหลมสิงห์ อยู่ก่อนถึงท่าเรือประมาณ ๑ กม. "ชมคุกขี้ไก่" ก็อย่าลืมไปชมตึกแดงที่อยู่เกือบถึงท่าเรือแหลมสิงห์ ไปวนอุทยานแหลมสิงห์ ที่อยู่ไม่ไกลกัน แต่ก่อนที่จะไปเที่ยวดังกล่าว ผมขอย้อนเล่าเรื่องไปกินอาหารที่ "ศูนย์ของฝาก ฯ" เพราะได้เล่าว่าไปกินอาหารพื้นเมืองจันท์ที่ศูนย์นี้ไปแล้ว แต่ยังไม่ได้เล่าถึงของฝากจากเมืองจันท์ ซึ่งเป็นการแปรรูปผลไม้เมืองจันท์ ที่ให้ผลมากมายเกินกว่าที่จะขายเป็นผลไม้สดได้ทัน และบางชนิดก็ทำให้ออกผลได้ทั้งปีจึงต้องคิดนำมาแปรรูปอาหารเมืองจันท์หรือจันทบูร สำหรับกับข้าวของชาวจันท์จะหลากหลายไปด้วยผลิตจากผลจากป่า สวนและท้องทะเล เท่าที่ค้นหามาได้มี ๑๖ อย่างด้วยกัน และยังไม่พบว่าร้านอาหารร้านใดที่จะมีครบทั้ง ๑๖ อย่าง แต่ที่ศูนย์กุลนารถที่พาไปชิมมาแล้วก็นับว่ามีมากหรืออาจจะมีครบก็ได้ แต่คณะผมมีแค่ ๔ คน ไม่มีพุงจะใส่ได้หมด จึงสั่งเท่าที่เล่าให้ทราบไปแล้ว ๑๖ ชนิดอาหารคือ แมงกะพรุนดอง และน้ำจิ้มที่ทำเฉพาะจิ้มแมงกะพรุน แกงส้มเนื้อ และไข่ปลาเลียวเชียวใส่ลูกตลิงปลิง "แกงหมูชะมวง" แกงกระวานไก่บ้าน แกงบอน แกงเลียงผักชะอม หน่อไม้ต้มเก้อ แกงเนื้อใส่ยอดสับปะรด แกงขิงใส่เนื้อสับ ข้าวเกรียบอ่อนน้ำจิ้ม ก๋วยเตี๋ยวผัดปูเส้นจันท์ "น้ำพริกปูไข่" น้ำพริกกะปิ (ใส่ระกำ) แสร้งว่า ผักจิ้มน้ำพริก ที่มีทั้งผักทั่ว ๆ ไป เช่นแตงกวา มะเขือ ผักลวก ผักทอด (ชะอมชุบไข่ทอด) และพืชผักท้องถิ่นเช่นสาหร่าย หน่อแดง และลูกหย่อง อาหารเมืองจันท์ไม่เผ็ดจัด เผ็ดพออร่อย แกงเผ็ด แกงป่า จะมีกลิ่นของเครื่องเทศเพราะเครื่องแกงของเขาจะใส่ "เร่ว" ซึ่งเป็นพืชสกุลเดียวกับกระวาน เอาแต่เหง้าที่อยู่ใต้ดิน มีกลื่นหอมเฉพาะตัวมาตำใส่ในเครื่องแกงด้วย และเร่วจะเป็นเครื่องแกงสำคัญในการทำให้ก๋วยเตี๋ยวเนื้อเลียง หรือหมูเลียงมีกลิ่นหอมกรุ่น ต่างกับก๋วยเตี๋ยวทั่วไป ส่วนอาหารสดจากทะเลชาวจันทน์นำกุ้ง หอย ปู ปลาสด มาย่างจิ้มน้ำพริกเกลือ (พริกขี้หนู กระเทียมตำปรุงรสด้วยเกลือ และมะนาวรสจะจัดจ้าน) อาหารจันท์ที่ผมยกตัวอย่างมา ๑๖ อย่างนั้น เท่าที่ผมนับมา และหากินได้แล้ว ยังมีอีกมากชนิดอาหารอร่อยเฉพาะถิ่นก็มีเช่น ข้าวต้มท่าใหม่ เยื้องธนาคารออมสิน อ.ท่าใหม่ จะเป็นข้าวต้มเครื่องก็ไม่ใช่ ข้าวต้มกับก็ไม่เชิง เพราะเป็นข้าวต้มโรยหน้าด้วยไข่เจียวหั่นฝอย กุ้งแห้งป่น ผักกาดดอง ขึ้นฉ่ายปรุงรสด้วยกระเทียมเจียว พริกไทยป่น และน้ำปลา ขอจบเรื่องอาหารชาวจันท์ที่เคยชิมไว้แค่นี้
ศูนย์ของฝาก หากไปเที่ยวน้ำตกพลิ้วกลับมารขึ้นถนนสุขุมวิทหรือสาย ๓ เลี้ยวซ้ายไปจนถึง กม.๓๕๕ ก็เลี้ยวขวาเข้าร้าน กินอาหารเสียก่อน อย่าโดดข้ามไป ส่วนที่เป็นร้านอาหารอยู่ทางขวามือ ตรงกลางที่จอดรถคือส่วนที่เป็นศูนย์ของฝาก ได้ความว่าศูนย์ หรือร้านนี้ดั้งเดิมมีสวนผลไม้ประมาณ ๒๐ ไร่ ผลไม้ติดดอกออกผลมากจนขายสด ๆ ไม่ทัน จึงคิดแปรรูป ตอนนั้นคงจะมีทุเรียนทอดเกิดขึ้นแล้ว จึงคิดทำมังคุดพับ ทะเรียนพับ สละพับ การแปรรูปต้องใช้แรงงานคน เป็นฝีมือของท้องถิ่น ช่วนให้ชาวบ้านละแวกนั้น มีงานทำอีกด้วย เช่น ทุเรียนก็เอาที่เหลือจากการทำทุเรียนทอดมาป่น แล้วก็เอามาผสมแป้งสาลี น้ำตาล ไข่ไก่ กะทิ ทุเรียนหรือผลไม้อื่นที่ต้องการจะทำทองพับ สีจะสวย เป็นกลีบดอกไม้แล้วม้วนเป็นรูปกรวยพอคำ มังคุดเป็นสีม่วง โดยใช้เปลือกมังคุด ทุเรียนสีเหลืองอ่อนด้วยดอกดาวเรือง สละสีส้ม สวย มีกลิ่นหอม กรอบ หวาน มัน กินแล้วหยุดไม่ได้ จัดใส่กล่องน่ารัก ถามไถ่ว่ามีขายที่ไหนเขาบอกว่าส่งขายไปทั่ว และส่งให้เซเว่น อีเลฟเว่น ไปขายทั่วประเทศคงจะร่วม ๕๐๐ สาขา และส่งขายให้โลตัสด้วย มังคุดและสละก็ทำแบบเดียวกัน ร้านมีแต่ของอร่อย ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะเลยทีเดียว ทุเรียนพับ ทุเรียนกรอบ ทุเรียนกวน มังคุดกวน พายทุเรียน สินค้าพื้นเมือง ฯ ยังมีร้านกาแฟ ILLY ที่เป็นมุมสงบ นั่งซดกาแฟเย็นสบาย สั่งผลไม้พับมาเคี้ยวไปด้วย "กาแฟอิลลี่" ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในกาแฟแบรด์เนมที่ดังที่สุดในโลก
คุกขี้ไก่และตึกแดง สถานที่เหมือนเป็นสัญลักษณ์ของอำเภอแหลมสิงห์ ใครไปแหลมสิงห์ต้องไปชมให้ได้ ชมเพื่อย้อนอดีตด้วยว่า ครั้งหนึ่งทหารฝรั่งเศสบุกรุกอธิปไตยของไทย ด้วยการมายึดครองจันทบุรี เมื่อเกิดกรณีพิพาทกับไทยใน ร.ศ.๑๑๒ (พ.ศ.๒๔๓๖) แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ในครั้งนั้นหากแก้ปัญหาด้วยการใช้กำลังเข้าต่อสู้แล้ว ไทยก็คงมีสภาพเหมือนประเทศรอบบ้าน ที่ไม่มีประเทศไหนรักษาเอกราชเอาไว้ได้แม่แต่ชาติเดียว แต่พระปิยมหาราช ทรงยอมเสียแขนเสียขาเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้นั่นคือ การยอมเสียแผ่นดินที่เป็นของไทยมาก่อนเช่น ลาว เขมร เพื่อแลกเอาจันทบุรี ตราด กลับคืนมา
เส้นทางไปคุกขี้ไก่ และตึกแดง เมื่อออกจากอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว เลย กม.๓๔๗ มานิดเดียว จะมีถนนแยกขวาเข้าไปยัง อ.แหลมสิงห์ เลี้ยวขวาเข้าถนน ๓๑๔๗ ไปยัง อ.แหลมสิงห์ ระยะทาง ๑๖ กม. เมื่อเลี้ยวเข้ามาได้สัก ๕๐๐ เมตร ทางขวามือจะมีทางแยกเข้าสู่พุทธอุทยานวัดชากใหญ่ เดี๋ยวนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่ง ของการไปแหลมสิงห์ ควรแก่การเลี้ยวเข้าไปชม และนมัสการพระพุทธรูป ขอนำชมไว้ด้วย ภายในวัดร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย กุฎิพระสร้างอยู่ใต้ร่มไม้ มีวิหารธรรมพระอาจารย์มั่น วัดสร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๘ โดยพระอาจารย์มหาบัว ญานสัมปันโน ซึ่งท่านมาจำพรรษาที่บริเววณนี้ ศรัทธาได้ซื้อที่ดินถวาย ๒๙ ไร่เศษ ในขณะนั้นพื้นที่โดยรอบยังเป็นป่าดง สร้างเป็นที่พักสงฆ์ จน พ.ศ.๒๕๐๘ พระอาจารย์ธรรมรัต มาจำพรรษา มีศุภนิมิตว่าเทพมาบอกให้จำพรรษาตลอดไป ในอนาคตจะมีถาวรวัตถุเกิดขึ้น เสริมบารมี พระอาจารย์ฝั้นก็มาบอกทำนองเดียวกัน มีผู้ศรัทธาให้ทุนมาสร้างเป็นจำนวนมาก จึงมีการก่อสร้างมาอย่างต่อเนื่อง แม้ในปัจจุบันก็ยังก่อสร้างอยู่ จึงกลายเป็นพุทธอุทยานปทุมวิทยาญาณสัมปันโน สถานที่สวยมาก ไปชมแล้วจะได้ความรู้ ความเข้าใจ ในสาระของพระพุทธศาสนา มีพระพุทธรูปปางประทานพร นางสุชาดาถวายข้าวปายาส คชสารคู่บัลลังก์แห่งกรุงราชพฤกษ์ พระพุทธไสยาสน์ ประชุมพระอรหันต์ในวันมาฆะบูชา ภาพนี้ประทับใจมากเพราะจะปั้นพระพุทธองค์ เบื้องหน้าปั้นองค์พระอรหันต์นับเป็นร้อยองค์ นั่งชุมนุมกันอยู่ ทุกแห่งมีคำอธิบายโดยละเอียด และจะประทับใจตั้งแต่ผ่านเข้าประตูวัด ที่เป็นเหมือนประตูถ้ำ ชาวพุทธอย่าวิ่งรถผ่านไป คราวนี้ไปคุกขี้ไก่ จากวัดชากใหญ่ เลี้ยวขวาวิ่งไปจนผ่านทางแยกซ้ายไปเกาะเปริต และทางไปตัวอำเภอแหลมสิงห์ คุกขี้ไก่จะอยู่ทางขวามือ วิ่งรถช้า ๆ หน่อย เพราะต้นไม้ต้นโต ๆ อยู่ข้าง ๆ และตัวคุกอยู่ห่างจากถนนสัก ๒๐ เมตร คุกขี้ไก่สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๖ เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสลบเหลี่ยม ก่อด้วยอิฐ กว้าง ๔ เมตร สูง ๑๐ เมตร หลังคาเดิมเป็นเครื่องไม้มุงกระเบื้อง พังไปหมดแล้ว แต่ตัวคุกยังอยู่ดี มีประตูเข้าออกหนึ่งช่อง ด้านบนเป็นช่องระบายลม ในอดีตเป็นป้อมที่มีน้ำล้อมรอบ ใช้เป็นป้อมปืน และตรวจการณ์ปากแม่น้ำจันทบุรี ที่อยู่ที่อำเภอนี้ ชาวบ้านเรียกว่า ป้อมฝรั่งเศส เพราะเมื่อฝรั่งเศสมายึดครอง ได้ใช้ป้อมนี้สำหรับกักขังนักโทษ ทั้งทหารญวน คนจีน คนในบังคับฝรั่งเศสรวมทั้งคนไทยด้วย ที่มนุษย์ไม่น่าทำคือ ขังคนไว้ตอนล่าง ส่วนตอนบนเลี้ยงไก่ เพื่อให้ไก่ถ่ายใส่นักโทษ คุกขี้ไก่เลิกใช้งานเมื่อทหารฝรั่งเศสถอนกำลังออกจากเมืองจันท์ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๗ ตึกแดง เป็นอาคารชั้นเดียว อยู่เลยคุกขี้ไก่เข้าไปจนเกือบถึงท่าเรือ อยู่ทางฝั่งซ้ายของถนน ๓๑๔๗ เป็นอาคารชั้นเดียว สร้างด้วยอิฐถือปูน กว้าง ๗ ม. ยาว ๓๒ ม. ทาสีแดงชาด ภายในแบ่งเป็น ๕ ห้อง มีประตูเปิดถึงกันหมด สร้างขึ้นในบริเวณที่เป็นป้อมพิฆาตข้าศึก ซึ่งเป็นป้อมเก่าแก่ สร้างมาตั้งแต่แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ รัชกาลที่ ๓ ได้โปรด ฯ ให้บูรณะเพื่อรับศึกญวน ฝรั่งเศสได้รื้อเอาอิฐจากป้อมมาสร้างตึกแดง เป็นที่พักของนายทหาร ตึกแดงได้รับการบูรณะ เมื่อปี

พ.ศ.๒๕๒๗ เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ โอเอวิส ซีเวิลด์ จัดให้ชมการแสดงของปลาโลมาเป็นแห่งแรกในเมืองไทย ไปคราวนี้ไม่ได้เข้าไปชม แต่เคยชมมาแล้ว ๒ - ๓ ครั้ง ไปตามถนน ๓๑๔๗ แยกขวาผ่านที่ว่าการอำเภอ มีป้ายบอกนำทาง ไปดูปลาโลมาแสนรู้ กระโดดขึ้นมาเหนือน้ำให้ชมไปคราวนี้ผมพักที่โรงแรมที่น่าจะดีที่สุดของจันทบุรี เส้นทางผ่านสี่แยกเขาไร่ยามาแล้ว ตรงมาถึงสามแยกมะขาม เลี้ยวขวามาตามถนนสุขุมวิท ก่อนถึงปั๊มเชลล์มณีจันท์จะอยู่ทางขวามือ สถานที่กว้างขวาง ตกแต่งสวยงามมาก โรงแรมหรูสไตล์รีสอร์ท ห้องพักสวย กว้างขวาง สะดวกสบายมาก ราคาพอสมควร มีสระว่ายน้ำ ฟิตเนส แอโรบิค ห้องอบไอน้ำ บริการนวดแบบไทย ห้องอาหารกว้างขวาง บรรยากาศดี อาหารเช้าแถมฟรี และมีไม่เหมือนใครที่แตกต่างจากโรงแรมอื่นคือ มีไก่เบตง ซี่โครงหมูต้มหน่อไม้จีน เยื่อไผ่น้ำแดง ต้มเลือดหมู เขาบอกว่าห้องอาหารนี้มีอาหารพื้นเมืองจันท์ด้วย เย็นวันแรกที่เข้าพักเลยไม่ได้ออกไปหากินที่ไหน กินที่ห้องอาหารของโรงแรม อาหารอร่อยไม่ผิดหวัง ลองสั่งมาชิม ไก่บ้านต้มกระวาน กลิ่นหอม ซดร้อน ๆ วิเศษนัก หากินได้แต่ที่จันทบุรี น้ำพริกไข่ปู เสียดายที่เมื่อก่อนมีร้านคุณแดง ตรงข้ามโรงแรมแกรนด์ ไปวันนี้ร้านคุณแดงกำลังรื้อคงจะเปลี่ยนกิจการ ทายาทคุณแดงเลิกทำร้านอาหาร เสียดายเพราะน้ำพริกไข่ปูไม่มีใครสู้ แต่ชิมมื้อนี้ได้ตัวแทนแล้วที่ห้องอาหารนี้เอง กุ้งนึ่งซีอิ้วกระเทียม เพิ่มความอร่อยด้วยการมีน้ำขลุกขลิกปลาเก๋าลวก เนื้อปลาสดมาก จานนี้ราคา ๒๐๐ บาท ขาห่านอบบะหมี่, ส้มตำปูดอง ไม่ใช่อาหารพื้นบ้านแต่อยากชิม