วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2552

น้ำตาล+ภาวะฟันผุ

อาหารที่เรากินทุก วันนี้ ล้วนแต่มีส่วนผสมของน้ำตาลอยู่ ทั้งที่มีโดยธรรมชาติในตัวอาหารหรือที่มนุษย์เราแต่งเติมลงไป น้ำตาลที่กล่าวถึงนี้ส่วนใหญ่อยู่ในรูปที่เรียกว่า ซูโครส ซึ่งพบมากในน้ำตาลอ้อย ในน้ำตาลมะพร้าว และน้ำตาลทรายขาว

ในผักและผลไม้จะมีน้ำตาลกลุ่มที่เรียกว่าฟรักโทสและกลูโคส จะเป็นน้ำตาลที่มีขนาดเล็กที่สุดอยู่ตามธรรมชาติ
ถ้าเราเอาน้ำตาลซูโครสมาย่อยด้วยเอนไซม์จะได้น้ำตาลฟรักโทสและน้ำตาลกลูโคส อย่างละ 1 ตัวแล้ว ฟรักโทสจะเป็นน้ำตาลที่หวานที่สุด แต่กลับถูกดูดซึมผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือดได้ช้ากว่ากลูโคส บางคนอาจเคยได้ยินคำว่า น้ำตาลแล็กโทส


ตัวอย่าง ปริมาณและชนิดของน้ำตาลในผักและผลไม้ต่อ 100 กรัม( 1 ขีด )



น้ำตาลแล็กโทสจะเป็นน้ำตาลเพียงชนิดเดียวที่ได้จากสัตว์ บางครั้งจะเรียกว่าน้ำตาลนม เพราะพบในผลิตภัณฑ์จากนมของสัตว์เท่านั้นส่วนน้ำผึ้งความจริงเป็นเพียงน้ำ หวานจากดอกไม้ที่ผึ้งนำมาสะสมไว้เท่านั้น จะเป็นน้ำตาลฟรักโทสและกลูโคส อาหารจากแป้งเมื่อร่างกายย่อย แล้วก็จะได้เป็นน้ำตาลดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลใด ๆ ในอาหาร แบคทีเรียในปากจะดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการย่อยสลายแป้ง และน้ำตาลที่คั่งค้างอยู่ในช่องปากทำให้เกิดกรดแล็กติก กรดแล็กติกนี้เองที่จะเป็นตัวทำลายเคลือบฟันให้กร่อน และบางลงจนเกิดฟันผุ



การกินน้ำตาล

ในวันหนึ่ง ๆ คนเราจะได้พลังงานจากน้ำตาลโดยเฉลี่ยร้อยละ 18 แต่ความแตกต่างของการกินนั้นยังขึ้นกับอายุและเพศอีกด้วย นอกจากนี้อาจจะมีการกินของหวานที่มีส่วนผสมของน้ำตาลเกิดขึ้นในกรณีพิเศษ เช่น ในงานตรุษ งานสารท หรืองานฉลองพิเศษ
อย่างไรก็ดี การกินของหวาน ยังเป็นนิสัยการกินประจำตัวหรือแม้แต่เชื้อชาติก็มีส่วนเกี่ยวข้อง ชาวตะวันตกจะชอบกินของหวานมากกว่าชาวตะวันออก ตำรับของหวานที่ต้องใช้น้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลัก ส่วนใหญ่จะเป็นตำรับฝรั่ง ส่วนตำรับจีนและญี่ปุ่นแทบจะไม่มีระบุตำรับของหวานเลย


สำหรับคนไทยได้รับวัฒนธรรมการกินจากทั้งตะวันตกและตะวันออก และพิถีพิถันเรื่องการกินมาก ตำรับขนมหวานของไทยจึงมีเป็นร้อยชนิด ส่วนประกอบหลักคือน้ำตาล แป้งชนิดต่าง ๆ ไข่และกะทิ โดยเฉลี่ยคนไทยจะกินน้ำตาลทราย 60 กรัมต่อวัน

คนอเมริกันบริโภคน้ำตาลโดยเฉลี่ย 94 กรัมต่อวันชาวยุโรป เช่น เบลเยี่ยม อังกฤษ เยอรมัน เดนมาร์ค บริโภคน้ำตาลโดยเฉลี่ย 97 กรัมต่อวันแต่ การบริโภคน้ำตาลในปริมาณที่สูงไม่ใช่ปัญหาหลักที่จะทำให้เกิดฟันผุ ทั้งนี้เพราะในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาได้มีการรณรงค์แก้ไขปัญหาฟันผุด้วยการให้เด็กนักเรียนแปรงฟัน หลังกินอาหารเป็นประจำ เพื่อลดเศษอาหารที่เกาะตามเนื้อฟันซอกฟันที่แบคทีเรียใช้ดำรงชีพต่อไป
นอกจากนี้ยาสีฟันแทบทุกประเภทจะมีการผสมสารฟลูออไรด์ เพราะฟลูออไรด์มีคุณสมบัติด้านเป็นความกรด กระตุ้นให้มีการสะสมของแร่ธาตุที่ฟันมากขึ้น และมีกลไกที่ช่วยยับยั้งแบคทีเรีย

การป้องกันฟันผุ

การรักษาสุขอนามัยของช่องปากนับว่าเป็นวิธีที่ดีที่สุดในทุกเพศทุกวัย เพราะถ้าสุขภาพภายในช่องปากดีจะทำให้การเกิดฟันผุได้น้อยลง ซึ่งสุขภาพภายในช่องปากจะรวมทั้งการป้องกันการเกิดเหงือก และเนื้อเยื่อในช่องปากอักเสบเรื้อรัง กระดูกที่เป็นเบ้าฟันต้องแข็งแรงและ การแปรงฟันที่ถูกวิธี

ส่วนความสัมพันธ์ของอาหาร ที่จะมีอิทธิพลต่อการเกิดฟันผุนั้น พบว่ามีผลโดยอ้อม เพราะเมื่อร่างกาย ขาดสารอาหารเกิดภาวะทุพโภชนาการจะมีผลต่อภาวะภูมิคุ้มกันของโรคต่ำลง การอักเสบของเนื้อเยื่อจะเกิดได้ง่ายกว่าปกติ ซึ่งจากการสำรวจประชากรจำนวน 21,559 คนทางระบาดวิทยาทั่วโลกด้วยทีมงานวิจัยที่ประกอบด้วยแพทย์ ทันตแพทย์ นักชีวเคมี นักโภชนาการ พบว่า กลุ่มที่มีภาวะเหงือกอักเสบ จะขึ้นกับอายุและสิ่งที่มีอิทธิพลอย่างมากคือการมีสุขภาพอนามัยของช่องปาก ที่ไม่ดีถึงร้อยละ 66 และได้มีการกล่าวสรุปในที่สุดว่า “สิ่งที่ดีที่ สุดของการรักษาสุขภาพช่องปากมิได้ขึ้นอยู่กับอาหารที่กินเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นกับการขจัดคราบที่เกาะที่เรียกว่า พลาค (plaque) ด้วยวิธีแปรงฟันที่ถูกวิธี”


ในเด็กทารกที่ยังไม่สามารถแปรงฟัน ได้ ควรทำความสะอาดฟันทุกครั้งหลังจากการกินนม อาจให้ดูดน้ำมาก ๆ หลังจากดูดนมแล้วและควรใช้ผ้านิ่ม ๆ เช็ดฟันให้สะอาด การให้เด็กดูดนมจนหลับไปจะทำให้เกิดฟันผุมาก

เมื่อเด็กโตขึ้นสามารถ ที่จะเคี้ยวอาหารได้ การให้เด็กได้กัดเคี้ยวผัก ผลไม้ที่มีเส้นใยและรสไม่หวานจะมีประโยชน์ในแง่ที่ช่วยขจัดคราบและทำให้ฟัน สะอาดและช่วยบริหารเหงือกด้วย แต่มิได้หมายความว่าจะเป็นวิธีที่ใช้แทนการแปรงฟันได้

อย่างไรก็ตาม การแปรงฟัน อย่างน้อยที่สุดวันละสองครั้งจะเป็นวิธีที่ทำความสะอาดฟันได้ดี โดยเฉพาะคนที่มีลักษณะโครงสร้างของฟันที่เรียกว่าฟันห่างจะมีเศษอาหารติดได้ ง่าย รวมทั้งคนที่มีโครงสร้างของตัวฟันใหญ่ หนา แต่คอฟันและกรามมีขนาดเล็กทำให้เกิดช่องว่าง การทำความสะอาดฟันจะเป็นสิ่งที่ยากมากขึ้น

เมื่อ ทำความ เข้าใจถึงการเกิดภาวะฟันผุแล้ว อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่าการกินอาหารไม่จำเป็นต้องงดอาหารแป้งและน้ำตาลเลยเสีย ทีเดียว แต่ควรกินอาหารให้ได้สัดส่วนและควรลดการส่งเสริมการเกิดภาวะฟันผุ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น